พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ ตอนฝากตัวเป็นศิษย์,เหล็กไหล,น้ำมันกลิ้งฯลฯ
บทความพระเครื่อง เขียนโดย punch18
พ่อท่านจันทร์ สุเมโธ วัดทุ่งเฟื้อ จ.นครศรีธรรมราช เป็นพระสงฆ์อีกรูปหนึ่งที่ข้าพเจ้า หนึ่ง สมุทรสาคร มีความศรัทธามา ตั้งแต่ครั้งยังเป็นเด็ก เพราะได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับกฎแห่งกรรมเล่มหนึ่ง ได้กล่าวถึงพ่อท่านไว้สั้นๆ แต่ข้าพเจ้ารู้สึกประทับใจแล้ว (ตอนนั้นยังไม่เห็นรูปพ่อท่าน) ต่อมาได้อ่านประวัติและเห็นรูปพ่อท่านจากสื่อต่างๆ เช่นหนังสือลานโพธิ์ และสื่อออนไลน์ต่างๆ ข้าพเจ้ายิ่งประทับใจ ทั้งในประวัติปฏิปทาและโดยเพาะรูปลักษณะของพ่อท่าน ที่มีลักษณะผอม สูง ใบหูใหญ่ ดวงตามีทั้งตบะบารมี และความเมตตาอยู่ในที ข้าพเจ้าจึงอยากรวบรวมเรื่องราวของพ่อท่าน ที่ไม่ได้มีลงไว้ตามหนังสือเล่มไหน แต่เกิดจากการบอกเล่าของผู้ที่ได้สัมผัสกับพ่อท่านเอง เพื่อบันทึกไว้ไม่ให้เรื่องราวสูญหาย และเพื่อเพิ่มศรัทธาแด่ทุกๆท่านที่อยากรู้เรื่องราวของพระอริยสงฆ์อีกท่านหนึ่ง พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ...
เรื่องเล่าเรื่องนี้ทั้ง6ตอน ถ่ายทอดโดยคุณอา จ่าบัติ ทัพพระยา (ผมได้รับอนุญาติจากท่านเรียบร้อยแล้วครับ) กราบขออนุญาตเพื่อนสมาชิกทุกท่าน ที่ให้โอกาสได้นำเรื่องประสบการณ์ส่วนตัว ที่ครั้งหนึ่งไปกราบพ่อท่านจันทร์ เพื่อขอมอบตัวเป็นศิษย์ครับ ตอนที่ 1 พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ อ.เชียรใหญ่จ.นครศรีธรรมราช สมัยที่พ่อท่านยังมีชีวิตอยู่ชื่อเสียงกิติศัพท์ของพ่อท่านจันทร์ โด่งดังขจรกระจายกว้างไกลเป็นอย่างมาก ผมอยู่ถึงภาคตะวันออกชลบุรีได้รับฟังเรื่องราว ของพ่อท่านจากการบอกเล่าของลูกน้องที่เป็นทหารอยู่บ่อยๆ อีกทั้งได้มีหนังสือพระเครื่องลานโพธิ์ก็ได้นำประวัติของท่านพ่อมาลงอย่างต่อเนื่อง ผมติดตามเปิดอ่านดูแล้วยิ่งเลื่อมใสในตัวท่านพ่อจันทร์ไปกันใหญ่ เช่นพ่อท่านจันทร์สามารถเรียกเหล็กไหลได้ ทำให้ตัวผมเองสงสัยว่าจะเรียกได้อย่างไร อีกเรื่องหนึ่งคือการเสกน้ำมันกลิ้งเข้าตัวแล้วหายไปในตัว และที่สุดทึ่งคือการยืดตัวของพ่อท่าน จึงทำให้ผมคิดว่าสักวันต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวให้ได้อย่างแน่นอนครับ (มีต่อ) ตอนที่ 2 ใจเต็มร้อยมุ่งเดินทางกราบพ่อท่านจันทร์ จ.นครศรีธรรมราช ช่วงนั้นถนนสุขุมวิทย์ถึงกรุงเทพฯ ถนนหนทางยังโล่งโปร่งดีจังเลยครับ ยังไม่มีถนนเส้นมอเตอร์เวร์/ทางยกระดับลอยฟ้าบูรพาวิถี สี่เลนแปดเลนยังไม่มีครับ ช่วงนั้นถนนมีแต่สองเลนอย่างเดียวตลอดครับ ใจพร้อมผมออกเดินทางเลยครับ จากสัตหีบต้องโหนรถเมล์ถึงสถานีรถโดยสารเอกมัยตะวันออก ผมกระโดดขึ้นรถเมล์อีกสามต่อไปลงสถานีรถไฟบางกอกน้อย เล่นเอาหลับไปหลายครั้ง ช่างนานและไกลเสียเหลือเกิน มาถึงสถานีรถไฟบางกอกน้อยในตอนช่วงเย็นรถไฟออกพอดี ผมตีตั๋วหลับยาวเลยทีนี้ แต่หลับๆตื่นๆตลอดทาง ชักลืมแล้วครับว่าได้ถึงเมื่อไหร่ที่สถานีทุ่งสง แล้วขึ้นรถไฟต่อจากสถานีทุ่งสงเพื่อไปลงสถานีรถไฟนครศรีธรรมราชครับ เดินทางยาวเลยครับขึ้นรถประจำทางไปลง อ.เชียรใหญ่ จำได้ว่าไปถึงเอาช่วงเย็นพอดีครับ ได้เข้าไปกราบรายงานตัวกับพ่อท่านจันทร์ตามธรรมเนียม สนธนากับพ่อท่านไปได้สักพักก็มืดพอดี (ตั้งใจมาแล้วว่าคืนนี้จะขอนอนพักที่นี่เลย) กุฎิของพ่อท่านเป็นเรือนไม้ไม่ค่อยกว้างขวางใหญ่โตอะไรเลยครับ เตียงนอนก็ทำจากไม้เก่าๆ ไม่มีที่นอนเตียงใหญ่นุ่มๆหนาๆ ไม่มีพรม ผมมองหาตู้เย็น ทีวี แอร์ ก็ไม่มีอะไรเลย มีแต่เสื่อเก่าๆผ้าจีวรเก่าๆแขวนอยู่บ้างนิดหน่อย นี่หรือครับพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของเมืองคอนฯ ตามสายตาของผมในขณะนั้นได้นั่งมองพ่อท่านจันทร์ท่านช่างเป็นพระสงฆ์ที่สมถะ และน่ากราบไหว้อย่างสนิทใจเสียจริงๆครับ (ถ้าไม่เบื่ออ่านนิทานมีต่อในคืนแรกที่พักอยู่กับพ่อท่านจันทร์สองต่อสอง) ตอนที่ 3 สนทนากับพ่อท่านเสร็จผมได้ขออนุญาตพ่อท่านไปอาบน้ำชำระร่างกายก่อน มองหาห้องน้ำก็ไม่เจอครับ ไม่มีห้องน้ำครับมองไปด้านข้างกุฏิจะมีตุ่มน้ำประมาณ 2-3 ลูก สงสัยต้องอาบแบบสดๆแน่นอนเลยครับ ผ้าขะม้าเปลี่ยนก็ไม่มีพอดีข้างวัดมีบ้านของชาวบ้านเลยเดินไปขอยืม พี่เขาก็ใจดีให้ยืมครับ ไม่อย่างนั้นงานนี้มีโชว์แน่นอนครับ จำได้ว่าช่วงนั้นรู้สึกหนาวๆเหมือนน้ำที่อาบจะเย็นมากครับ หรือว่าเป็นหน้าหนาวของภาคใต้ อาบเสร็จขึ้นกุฏิพ่อท่านจันทร์เพื่อเข้าไปกราบพ่อท่าน กราบเสร็จเงยหน้าขึ้นมาผมรู้สึกตกใจและแปลกใจเป็นอย่างมาก พ่อท่านจันทร์ที่ผมเห็นเมื่อตอนช่วงบ่ายกับเวลานี้คนละองค์เลยครับ ผิวพรรณท่านเหลืองนวลมีสง่าราศรี ไม่อยากจะเขียนเล่าว่าพ่อท่านมีรัศมีเป็นประกายเปล่งปลั่งเป็นอย่างมาก เวลานั้นน้ำตาผมไหลออกมาแบบไม่รู้ตัวเลยครับ คำแรกที่พ่อท่านจันทร์ได้พูดออกมาเท่าที่จำได้ว่า เดินทางมาไกลแบบนี้ต้องการอะไร (ท่านพูดภาษาใต้) พอดีผมก็ฟังออกอยู่บ้างครับ ผมบอกพ่อท่านว่าต้องการมาขอฝากตัวเป็นศิษย์ครับ อยากให้พ่อท่านเป่ากระหม่อม(หัว) พ่อท่านยิ้มๆอย่างมีเมตตา ผมคลานเข้าไปหาและบอกพ่อท่านว่าอยากได้ผ้ารอยมือรอยเท้าครับ พ่อท่านเมตตาบอกว่าในตู้วัดก็มี ผมเรียนบอกพ่อท่านว่าจะขออนุญาตปั๊มกันสดๆได้หรือเปล่าครับ พ่อท่านบอกว่าเหมือนกัน ผมเลยกล่าวกับพ่อท่านว่ากลัวไม่ขลังขอกับตัวพ่อท่านจันทร์เลยครับ ท่านก็บอกว่าเหมือนกันอีก ผมจึงเรียนบอกพ่อท่านว่า ที่ผมกลัวนั้นผมกลัวว่าจะเป็นรอยเท้ากรรมการวัดนั่นเองครับ พ่อท่านก็หัวเราะแบบใจดี ผมเลยจัดการหาอุปกรณ์ซึ่งมีอยู่ใกล้ๆ ก่อนอื่นได้กราบพ่อท่านสามครั้งก่อนจะทำการปั๊มผมได้ยกฝ่าเท้าของพ่อท่านมาไว้บนหัวผมเลย และพ่อท่านยังเมตตาใช้ฝ่ามือทั้งสองที่ใหญ่ยาวมากมาลูบบนหัวพร้อมบริกรรมคาถาไปด้วย สักพักผมก็ดำเนินการขอประทับรอยมือรอยเท้าบนผ้าจีวรที่พอจะหาได้บริเวณใกล้ๆนั้น ได้ประมาณ 5-6 ผืนเท่านั้นเองครับ เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนท่านครับ ช่วงที่ผมยกฝ่าเท้ามาไว้บนหัวนั้นได้สังเกตุดูเล็บของพ่อท่านยาวมาก คิดในใจว่าจะขออนุญาตตัดเล็บให้ท่านสักหน่อย พอดีมีโอกาสผมจึงขออนุญาตพ่อท่านว่า ผมจะขอตัดเล็บให้ครับ พ่อท่านก็ยื่นเท้าออกมาให้ตัด พ่อท่านบอกว่าตัดที่หัวแม่เท้าก็พอ สรุปผมก็ตัดเล็บมาได้เพียงหนึ่งชิ้น (ผมได้นำมาใส่ไว้ที่ด้านหลังล๊อคเก็ต) มาถึงตอนนี้ทำให้ผมหายเหนื่อยแบบปลิดทิ้ง ไม่เสียแรงที่มุ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมากราบพ่อท่านเลยครับ และในตอนต่อไปถ้ายังไม่เบื่ออ่านนิทานก่อนนอนจะขอกล่าวต่อเนื่องเรื่องของคืนแรกที่พ่อท่านได้มอบของดีที่เป็นอะไรบ้างครับ ตอนที่ 4 ต่อเนื่องจากเมื่อวานครับ เมื่อผมได้อยู่กับพ่อท่านจันทร์สองต่อสองบนกุฏิ ผมก็เลยขออาสาบีบนวดพ่อท่านเท่าที่ทำได้ครับ ผมนวดทั้งแขนและขาบีบๆนวดๆคลำๆเท่าที่จะทำได้ครับ เป็นหมอนวดไปได้พักสักใหญ่ พ่อท่านเมตตาบอกว่า "อยากได้รัดประคดหรือเปล่าละ " ผมไม่กล้าปฏิเสธต่อความเมตตาของพ่อท่าน ทุกวันนี้ผมจึงได้มาครอบครองเป็นสมบัติส่วนตัว โดยเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี(รู้อย่างนี้น่าจะขอจีวรมาอีกหนึ่งผืน) ผมได้ปรนนิบัติรับใช้ท่านโดยการเป็นหมอนวด ไปสักระยะหนึ่งพ่อท่านก็บอกให้หยุดพักพอได้แล้ว พ่อท่านบอกว่า"งวงนอนก็นอนได้เลย" ในคืนนั้นผมก็ขอนอนบนกุฏิพ่อท่าน โดยนอนบริเวณใกล้หน้าประตูทางเข้า ใช้เสื่อที่พอหาได้ปูบนพื้นเสื่อน้ำมันอีกทีครับ ตลอดทั้งคืนผมหลับๆตื่นๆ เพราะได้ยินพ่อท่านจันทร์จะสวดมนตร์ให้ฟังตลอดทั้งคืน ตื่นมากี่ครั้งๆพ่อท่านก็ยังสวดให้ฟังตลอดเวลาครับ บางครั้งผมแอบลืมตามองไปที่พ่อท่านจันทร์ เห็นท่านยืนขึ้นร่างกายของพ่อท่านสูงยาวมากทั้งแขนและขา แอบเหลือบตามองอยู่หลายครั้ง มาถึงตอนนี้ผมได้พบกับบทพิสูจน์ที่ได้ฟังคนนั้นคนนี้พูด หรือได้อ่านในหนังสือต่างๆ ว่าพ่อท่านจันทร์สามารถยืดตัวให้สูงได้นั้น ผมสิ้นข้อสงสัยต่อพ่อท่านจันทร์ในคืนนั้นด้วยตัวผมเองครับ ตอนที่ 5 ขอเล่าต่อจากเมื่อวานนี้ครับ ปกติผมเป็นคนตื่นเช้าครับ พอรู้สึกตัวมองไปพ่อท่านจันทร์ พ่อท่านได้ตื่นก่อนผมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ มองเห็นพ่อท่านนั่งอยู่บนเตียงนอนมองมาทางผมอยู่พอดี ผมเลยเข้าไปกราบที่เท้าของพ่อท่าน คำแรกพ่อท่านถามว่า"หลับสบายดีไม๊" ผมกล่าวบอกพ่อท่านว่า"หลับสบายดีผมครับเห็นพ่อท่านสวดมนตร์ให้ผมฟังทั้งคืนเลยครับ" พ่อท่านจันทร์ไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่ยิ้มให้เรียบๆอย่างมีเมตตา ผมเลยไม่กล้าจะพูดคุยอะไรกับท่านมากจึงขอตัวลงไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย เมื่อเสร็จภาระกิจก็ได้เห็นชาวบ้านแถวนั้น นำอาหารกับข้าวมาถวายพ่อท่านจันทร์บนกุฏิ โดยมากกับข้าวจะเป็นผักน้ำพริกเสียเป็นส่วนมาก เมื่อพ่อท่านได้ฉันเสร็จให้พรญาติโยมเรียบร้อยแล้ว มื้อนั้นผมเลยได้เป็นเด็กวัดไปโดยปริยายครับ สายๆหน่อยผมเดินไปรอบๆวัด ซึ่งจะมีบ้านเรือนของชาวบ้านอยู่ใกล้ๆ สังเกตุดูบางบ้านกำลังถักตะกรุดพ่อท่านจันทร์แขวนเป็นตับๆอยู่หน้าบ้าน สาเหตุนี้จึงทำให้ผมไม่มีตะกรุดของพ่อท่านเลยสักดอก (คิดมากไปหน่อยเลยไม่ได้ตะกรุดผม น่าจะเช่ามาแล้วให้พ่อท่านเสกอีกที) เมื่อได้กลับมาที่วัดได้พบกับคณะครูอาจารย์ ที่อยู่ใกล้วัดพ่อท่านจันทร์ ซึ่งมากันหลายท่าน(คณะครูที่มาในครั้งนี้ หลังจากนั้นผมได้เป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก) และในวันนี้นี่เองที่ทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต มีครูที่เป็นผู้หญิงมาขอให้ พ่อท่านจันทร์ลงแผ่นทองที่หน้าผาก (ทางบ้านผมเรียกลงนะหน้าทอง) ผมได้นั่งสังเกตุดูตลอดเวลากล่าว คือแผ่นทองที่ปิดบนหน้าผากของครูผู้หญิงหลังปิดเสร็จพ่อท่านจันทร์ ใช้ฝ่ามือไปแตะเบาๆแผ่นทองคำเปลวก็ได้หายไปที่หน้าผากโดยทันทีครับ คณะครูที่มานี้มาขอลงทองที่หน้าผากกันทุกคน ผมเลยขอเอากับเขาบ้างครับ พ่อท่านจันทร์ปิดทองที่หน้าผากให้ผมเสร็จเรียบร้อยแล้ว พ่อท่านใช้ฝ่ามือมาป้องที่หน้าผากพร้อมบริกรรมคาถาเบาๆ และพิเศษที่พ่อท่านจันทร์ได้ปิดทองลงให้ที่อุ้งมือทั้งสองอีกด้วยครับ พ่อท่านก็ทำเหมือนกันครับ ที่แปลกมากคือทองคำเปลวที่ปิดได้หายไปต่อหน้าต่อตาอย่างอัศจรรย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมากครับ เรื่องเล่าคราวหน้ามีทีเด็ดก่อนกลับ เรื่องรับของดีลงน้ำมันกลิ้ง ครับ ตอนที่ 6 พ่อท่านจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช ท่านคือพระสงฆ์ที่อยู่ในวัยชรารูปหนึ่ง วัดพ่อท่านช่างอยู่ห่างไกลเสียเหลือเกิน แต่ถึงจะห่างไกลจากที่ ผมอยู่จะระยะหนทางไกลแค่ใหนเวลานี้ผมได้เดินทางมาหา บทพิสูจน์ต่อพ่อท่านได้แล้วครับ ก่อนจะกลับในวันนี้(ลืมวันเดือนปี)คณะครูที่มีเป็นผู้หญิงและครูชาย ได้กราบลาพ่อท่านกลับไปแล้ว จะเหลือก็ผมและอาจารย์อยู่ท่านหนึ่ง(ขอสงวนนาม ซึ่งต่อมาก็สนิทกันมาก)ได้กราบจะขอดูเหล็กไหลจากพ่อท่าน ตัวผมเองเกิดมาก็ไม่เคยเห็นของจริงสักที น่าจะเป็นโอกาสวาสนาในชีวิต สักครู่พ่อท่านได้สั่งให้มัคทายกวัดนำกล่องเหล็กไหลออกมาให้ดู เท่าที่ผมเห็นในเวลานั้นสิ่งที่ได้นำออกมา จะมีลักษณะคล้าย กระปุกกลมๆมีฝาปิดโดยมีผ้าห่ออยู่อีกหนึ่งชั้น เมื่อยกมาถึงพ่อท่านจันทร์จึงได้เปิดออกมาให้ดู สังเกตุดูเห็นข้างในเป็นเหมือนเม็ดถั่วเขียว สีออกเขียวๆดำๆคล้ายปีกแมลงทับอยู่ตรงกลางกระปุก กระปุกทำด้วยขี้ผึ้งปั้นเป็นกลมๆ และมีฝาปิดไปในตัวตัว เมื่อเปิดออกพ่อท่านจันทร์จึงเอาน้ำผึ้งหยดลงไป พ่อท่านจันทร์ท่านบอกว่าต้องเลี้ยงด้วยน้ำผึ้งซึ่งเป็นอาหารที่ให้เหล็กไหลกิน พอหยดน้ำผึ้งลงไปเท่านั้น เหมือนกับว่าเหล็กไหลกำลังกินอาหารเลยทีเดียว เทน้ำผึ้งลงไปเกือบเต็มกระปุกน้ำผึ้งถูกดูดค่อยๆหายเกลี้ยงไปเลย เล่นเอาผมตกใจและดีใจมากเลยครับที่เพิ่งได้เห็นของแปลกซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้เลยครับ ถึงจุดที่สำคัญในวันนี้ที่ผมจะต้องจดจำไปตลอดชีวิต ท่านอาจารย์ได้กล่าวกับพ่อท่านจันทร์ว่า วันนี้มีความต้องการจะขอให้พ่อท่านจันทร์เมตตาลงน้ำมันเกลี้ยงให้สักหน่อย เมื่อพ่อท่านจันทร์ได้รับรู้วัตถุประสงค์ที่ขอมาพ่อท่านไม่ได้กล่าวคำปฏิเสธเลย แต่รีบลงมือทำให้ทันที ผมได้นั่งรอดูอย่างเงียบๆด้วยความตื่นเต้น พร้อมทั้งนั่งลุ้นว่าวันนี้ตัวเราจะมีโอกาสได้ลงน้ำมันกลิ้งกับเขาบ้างหรือเปล่า น้ำมันกลิ้งสังเกตุดูเป็นยางเหนียวๆสีออกเหลืองๆน้ำข้นๆมีกลิ่นเหมือนยางใต้ หลังจากพ่อท่านลงน้ำมันให้อาจารย์เรียบร้อยแล้ว ท่านอาจารย์ซึ่งต่อมาก็เป็นเพื่อนที่สนิท ก็ได้เอ่ยปากขอให้พ่อท่านจันทร์ช่วยลงน้ำมันกลิ้งให้แก่ตัวผมบ้าง ผมรีบคลานเข้าไปอยู่ด้านหน้าโดยทันทีครับ ฝ่ามือที่เหี่ยวๆใหญ่ๆนิ้วยาวๆบรรจงเทน้ำมันกลิ้ง ออกจากขวดที่อยู่ด้านข้างใส่ฝ่ามือทั้งสองของผม พ่อท่านจันทร์เทใส่น้ำมันกลิ้งในมือทั้งสองข้างของอุ้งมือผมพอประมาณ เมื่อพ่อท่านเริ่มบริกรรมพระคาถา นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมากๆที่ได้เจอ กับตัวเองในเวลานั้นผมมองเห็น ได้ถนัดว่าอยู่ๆน้ำมันกลิ้งได้ซึมหายไป ในอุ้งมือทั้งสองข้างต่อหน้าต่อตายังงุนงงมาถึงทุกวันนี้ครับว่าน้ำมันกลิ้งได้หายไปใหนครับ หลังจากเสร็จพิธีพ่อท่านจันทร์ได้มีคำสั่งข้อห้ามในคนที่ได้บงน้ำมันกลิ้งว่า ห้ามเอามือไปล้วงในหม้อข้าวที่ได้ตักข้าวออกจากหม้อข้าวหมดแล้ว (หม้อยังไม่ได้ล้าง) นี่คือความภาคภูมิใจที่พ่อท่านจันทร์ได้เมตตาต่อผมมาจนถึงทุกวันนี้ครับ...
กราบขอบพระคุณคุณอาจ่าบัติมากครับ ที่กรุณาถ่ายทอดเรื่องราว และอนุญาติให้เผยแพร่ได้ |