พระอิศวร พระผู้บันดาลให้สำเร็จสมปรารถนา ตอนที่ ๒ - webpra

พระอิศวร พระผู้บันดาลให้สำเร็จสมปรารถนา ตอนที่ ๒

บทความพระเครื่อง เขียนโดย PryD159

PryD159
ผู้เขียน
บทความ : พระอิศวร พระผู้บันดาลให้สำเร็จสมปรารถนา ตอนที่ ๒
จำนวนชม : 853
เขียนเมื่อวันที่ : พฤ. - 03 ธ.ค. 2558 - 12:47.01
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

พระอิศวร พระผู้บันดาลให้สำเร็จสมปรารถนา ตอนที่ ๒

                               คัมภีร์ของพวกที่นับถือลัทธิไศวนิกาย ทำให้ทราบว่าพระศิวะเทพนี้คือวิญญาณของจักรวาลทรงมีพระวรกายเป็นสีขาว มี ๓ พระเนตร พระเนตรที่ ๓ สถิตอยู่กลางหน้าผาก มีลักษณะตั้งขึ้นตรงๆ พระเนตรประหลาดดวงนี้มีอานุภาพมากอาจบันดาลให้เป็นไฟเผาผลาญได้ทุกอย่าง โดยปกติแล้วพระเนตรนี้มักจะปิดอยู่เสมอ บางเหตุการณ์หรือปางอวตารที่พระเป็นเจ้าแสดงอิทธิฤทธิ์พระองค์จะเปิดพระเนตรที่ ๓ ซึ่งจะเกิดไฟร้อนแรงพุ่งออกมาทันที พระเนตรดวงนี้ชาวฮินดูเชื่อกันว่า หมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต  พระเกศาของศิวะเทพมีลักษณะเป็นมุ่นขมวดอย่างผมฤาษีหรือมุ่นขมวดเป็นรูปชฎารุงรัง เส้นพระเกศามีสีแดงสยายคล้ายกับแสงพระอาทิตย์ พระศิวะมี ๑ พักตร์บางปางมี ๔ พักตร์ซึ่งเรียกว่า จตุรมุขา บนพระเศียรนั้นมีจันทร์เป็นปิ่น คือเป็นรูปพระจันทร์ครึ่งซีกอยู่บนมุ่นมวยผมนั่นเอง ปิ่นปักพระเกศานี้มีสีแดง พระศิวะมีคอเป็นสีน้ำเงิน หรือ ดำ จึงเรียกพระองค์ว่านิลกัณฐ์  เหตุที่มีศอเป็นสีนิลหรือน้ำเงินนั้นมีหลักฐานหลายแห่งกล่าวกันว่าเกิดมาจากเหตุการณ์ที่พระองค์ดื่มยาพิษร้ายแรง ซึ่งได้มาจากผลของการกวนเกษียรสมุทร 

                               สัญลักษณ์อีกอย่างของพระศิวะคือมีสายน้ำไหลออกมาจากยอดมุ่นมวยผมของพระองค์มีลักษณะพุ่งขึ้นสูงคล้ายน้ำพุ และตกลงมาเป็นสาย สายน้ำนี้คือ พระแม่คงคาอันศักดิ์สิทธิ์ ในศาสนาฮินดู พระศิวะมีความเกี่ยวข้องกับพระแม่คงคา ซึ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวฮินดูเคารพบูชามาล้างบาป เพื่อความบริสุทธิ์ของตนและนำวิญญาณของตนไปสู่สวรรค์ พระแม่คงคาคือเทพธิดาองค์หนึ่งของกษัตริย์หิมาลัย น้องสาวคนเล็กของพระนางคงคาคือ อุมาซึ่งเทพธิดาองค์นี้ต่อมากลายเป็นมเหสีของศิวเทพ ลักษณะอื่นของศิวะเทพคือ พระองค์มีประคำกระโหลกศีรษะมนุษย์คล้องคอ ประคำคือสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายของการนับยุคของโลก มีสังวาลย์เป็นงูพันรอบศออยู่ สังวาลย์งูนี้เป็นเครื่องหมายนับปี ทรงอาภรณ์หนังเสือ หรือหนังกวาง หรือหนังช้าง แต่บางปางก็เปลือยกาย จึงมีอีกพระนามหนึ่งว่า ทิศฆพร (ผู้นุ่งฟ้า) ถืออาวุธตรีศูล ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของเทพองค์นี้ อาวุธอื่นก็มี ตะบอง ธนู ขวาน กลองสองหน้า หรือบัณเฑาะก์ อาวุธต่างๆของพระศิวะนี้มีชื่อเรียกเฉพาะ อย่างเช่น ตรีศูลชื่อว่า ปินาถ ธนูชื่อ อชคพ คฑายอดหัวกระโหลกคน มีชื่อว่า ขัฏวางค์ แต่ในบางปางพระศิวะถือบ่วงบาศก์ มฤค สังข์ก็มี เครื่องประดับพระวรกายของศิวเทพที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ สายธุรัม ซึ่งเป็นงูนั่นเอง สายธุรัมนี้คือเครื่องหมายของการเป็นพราหมณ์ ทั่วพระวรกายของพระเป็นเจ้ามีฝุ่นหรือขี้เถ้าปกคลุมอยู่ ซึ่งขี้เถ้าที่ห่อหุ้มวรกายของมหาเทพนี้ ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของพระองค์ในปางภูเตศวร

                               วิมานที่สถิตของศิวเทพคือไกรลาส อยู่ในเทือกเขาหิมาลัยคติพราหมณ์กล่าวกันว่า เขาไกรลาสนี้หมายถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด (อีกชื่อหนึ่งของไกรลาสเรียกว่าเขาพระสุเมรุ) บนยอดเขานี้มีวิมานที่สร้างอยู่บนพื้นที่รูปสามเหลี่ยม พระศิวะประทับอยู่กับมเหสีที่นามว่าอุมาหรือปารพตีบนวิมานนี้ พระศิวะเทพมีมหาดเล็กเป็นภูตผีปิศาจ ทรงโปรดในการเสวยของเมาและใฝ่พระทัยในการมีความสุขทางเพศ มเหสีของพระศิวะคืออุมา ธิดาองค์เล็กของกษัตริย์หิมวัต โอรสของพระศิวะกับพระนางอุมามี ๒ พระองค์ คือ พระขันธกุมาร หรือกาติเกยะ  ทรงนกยูงเป็นพาหนะ ชาวฮินดูนับถือโอรสองค์เล็กของศิวเทพนี้ว่าเป็น เทพเจ้าแห่งการสงคราม ส่วนโอรสองค์โตของพระเป็นเจ้าคือพระคเณศ หรือพระพิฆเนศตามที่ไทยเราเรียกกัน พระคเณศ คือเทพเคารพที่มีเศียรเป็นช้าง กายเป็นมนุษย์ พาหนะคือหนู พระองค์คือเทพที่ปัดเป่าอุปสรรคทั้งปวงให้พ้นจากมนุษย์ และเป็นเทพแห่งศิลป 

                               พาหนะของพระศิวะ คือ วัวนานดิน (ไทยเราเรียก นนทิ อุศุภราช) วัวนนทินี้มีกายสีขาว ความจริงคือเทพบุตรองค์หนึ่งเป็นหัวหน้าของภูตผี ซึ่งเป็นมหาดเล็กของพระศิวะบนเขาไกรลาส หน้าที่ของเทพบุตรนนทิคือเฝ้าประตูทางเข้าวิมานของศิวเทพในเวลาใดที่พระเป็นเจ้าจะเสด็จไปในที่ต่างๆ เทพบุตรนนทิจะแปลงกายเป็นโคสีขาวเพื่อเป็นพาหนะให้พระศิวะประทับ เทพบุตรนนทินี้ ชาวฮินดูยังนับถือว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสัตว์จตุบาท ด้วยการที่โคนนทิเกี่ยวข้องกับศิวเทพนี้ชาวฮินดูจึงนับถือวัวว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์สัญลักษณ์ของพระเป็นเจ้าที่เคารพสูงสุดของตน เขาจึงไม่ฆ่าวัว หรือกินเนื้อวัวแต่จะให้อาหารและมีพิธีกรรมบูชาเคารพวัวเป็นประเพณี

                               ลัทธิไศวนิกายถือว่าพระศิวะเป็นผู้สร้างโลกอย่างแท้จริง พระองค์มีรูปเคารพ ๒ แบบ แบบที่เป็นรูปมนุษย์และอีกแบบหนึ่งซึ่งสำคัญและมีอิทธิพลมากที่สุดต่อศรัทธาความเชื่อถือของพวกฮินดูคือ รูปเคารพที่เป็นอวัยวะเพศชาย ที่เรียกกันว่า ศิวลึงค์

                               ความเชื่อของชาวฮินดูมีอยู่ว่า อวัยวะเพศชาย ซึ่งเป็นสิ่งแทนองค์ศิวะนี้คือ สัญลักษณ์ หรือบ่อเกิดของความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ชีวิตของมนุษย์และพืชสัตว์ ที่อาศัยอยู่บนโลกนี้  อวัยวะเพศคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือวัตถุสำคัญที่เกี่ยวข้องกับศาสนา มันคือที่มาหรือปฐมเหตุการณ์สืบต่อการกำเนิดเป็นไป หรือ สร้างรูปมีเลือดเนื้อและชีวิตขึ้นมานั่นเอง ถ้าขาดอวัยวะเพศชายนี้เสียแล้วสิ่งมีชีวิตเช่นมนุษย์หรือสัตว์ก็ไม่มีประดับโลก ความอุดมสมบูรณ์ในโลกก็จะไม่มี มีแต่ความแห้งแล้งอับเฉา ดังนั้นอวัยวะเพศชาย จึงเป็นของสูงส่ง เป็นนามธรรมที่มีปรัชญาความหมายล้ำลึก เป็นของศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เป็นของลามกหยาบโลน อุจาดต่อการสัมผัส หรือกราบไหว้บูชา ชาวฮินดูเขากราบไหว้อวัยวะเพศของคนเพราะถือว่าเป็นของสูงเกี่ยวกับทางศาสนาโดยตรง ไม่ใช่ว่าเขาจะมีจิตใจต่ำ หลงงมงามอยู่ในศรัทธาที่ทุเรศและไม่เป็นแก่นสารแต่อย่างใด

                               ส่วนประกอบสำคัญอีกอย่างหนึ่งของศิวลึงค์คือฐานที่เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส หรือสี่เหลี่ยมผืนผ้า ฐานศิวลึงค์นั้นหมายถึง พระบาทของศิวเทพเอง แต่ส่วนมากรูปอวัยวะเพศชายนั้นมิได้อยู่ตามลำพังแต่อยู่รวมกับรูปอวัยวะเพศหญิง ที่เรียกว่า "โยนี" นั่นเอง จึงมีชื่อว่า ศิวลึงค์ - โยนี หรืออุมาลึงค์ ลักษณะของอวัยวะเพศหญิงนี้คือรูปร่างกลม ประดิษฐานอยู่เป็นฐานของอวัยวะเพศชาย ตรงกลางของรูปอวัยวะเพศหญิงนี้เป็นร่องหรือเจาะเป็นรูปสี่เหลี่ยมเพื่อไว้ให้รูปอวัยวะเพศชายแท่งทรงกระบอกสอดใส่ลงไปนั่นเอง  รูปลักษณะภายนอกของอวัยวะทั้งสองเพศเมื่อนำมารวมกันแล้วจึงเป็นส่วนหนึ่งอยู่ข้างล่างเป็นลักษณะกลมหมายถึง โยนีของหญิง ส่วนแท่งทรงกระบอกมีปลายบานคือลิงค์ อวัยวะเพศชายตั้งอยู่ตรงกลางเป็นระดับตั้งฉากกับรูปอวัยวะเพศหญิงนั่นเอง รูปปั้นศิวลึงค์และโยนีนี้มีกำเนิดความเป็นมาจากตำนานฮินดูโบราณว่า ศิวลึงค์มีอำนาจเหนือโยนี อวัยวะเพศทั้งคู่คือต้นเหตุของการเกิด การสืบต่อช่วงอายุ และชีวิตต่อชีวิตแต่ในคำจำกัดความของโยนีจากหลักฐานอื่นกล่าวว่า โยนีหรืออวัยวะเพศหญิงนี้ คือสิ่งสำคัญที่สุดสำคัญต่อศิวลึงค์ด้วยเพราะหมายถึงพลัง หรือกำลังหรือสิ่งเสริมอำนาจและความยิ่งใหญ่ให้แก่อวัยวะเพศชาย โยนีนี้คือสัญลักษณ์ของศักติ เทพธิดาผู้เสริมกำลัง และความมีอำนาจให้เพศชาย ผู้เป็นสวามี เป็นตัวแทนของพระนางอุมามเหสีของศิวเทพ  ดังนั้นการที่ชาวฮินดูประดิษฐ์รูปศิวลึงค์และโยนีอยู่คู่กัน ก็หมายถึงทั้งสองสิ่งคือต้นเหตุของทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ที่มาของชีวิต เลือดเนื้อความอุดมสมบูรณ์และของสองสิ่งนี้คือตัวแทนของพระศิวะกับพระนางอุมาเทวีโดยตรง

                               กำเนิดของศิวลึงค์นี้ปรากฏในคัมภีร์พราหมณ์ ปุราณะว่า พระศิวะเองทรงเป็นผู้ที่ประทานสิ่งนี้มา ให้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของพระองค์ เพื่อให้มนุษย์ทั้งหลายเคารพบูชาตลอดไป ตำนานกล่าวว่าครั้งหนึ่งเทพเจ้าทั้งหลายบนสวรรค์ต้องการจะเข้าไปเฝ้าพระอิศวรที่วิมานของพระองค์ ณ เขาไกรลาส ในเวลาที่เทพเจ้าเสด็จไปยังท้องพระโรงนั้น พระอิศวรเจ้ากับพระนางอุมาเทวีมเหสีกำลังปฏิบัติการร่วมเพศสมสู่กันอยู่อย่างโจ่งแจ้งในท้องพระโรงนั้น เมื่อเทพเจ้าทั้งหลายเปิดประตูเข้าไปเห็นเหตุการณ์นั้นเข้าก็เกิดความดูถูก ชิงชัง และขยะแขยง พากันหัวเราะเยาะเย้ยและแสดงท่าทีขาดความเคารพยำเกรงพระอิศวรซึ่งเป็นใหญ่ที่สุดในบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย พระอิศวรบังเกิดความละอายอดสูใจในการกระทำของพระองค์เลยเสียพระทัยสลบและถึงกาลกิริยาในทันทีนั้น แต่ก่อนจะถึงวาระสุดท้ายพระองค์ตรัสว่า อวัยวะเพศของพระองค์นี้เป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้พระองค์ต้องตายดังนั้นต่อไปนี้มันจะแทนตัวของพระเป็นเจ้า คือเป็นสัญลักษณ์แทนศิวเทพ ในหมู่มนุษย์และเทวดาพระเจ้าทั้งปวง ผู้ใดต้องการความสุขความเจริญ และประสบความสำเร็จในชีวิตก็ต้องบูชาอวัยวะเพศของพระองค์นี้เป็นพิธีกรรมประเพณี ในอวัยวะเพศนี้จะมีตาพันตามองดูได้ทุกทิศ มีวิญญาณและจิตใจของพระองค์เองบรรจุอยู่ สิ่งนี้จะต้องสถิตอยู่บนที่สูง เช่นยอดเขา ซึ่งเปรียบเสมือนวิมานไกรลาสของพระองค์เอง หลังจากตรัสเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว พระศิวะก็ถึงวิสัญญีภาพในขณะที่กำลังอยู่ในกิริยาร่วมเพศกับพระนางอุมา มวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลายก็นับถือ บูชาอวัยวะเพศของพระศิวะแทนตัวพระเป็นเจ้าเองตั้งแต่นั้นมาจนถึงทุกวันนี้

                               ส่วนพิธีกรรมบูชาศิวลึงค์ เครื่องบูชาก็มี น้ำนมสด, ใบมะตูม (ใบไม้ชนิดนี้ถือว่า เป็นของศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับพระศิวะโดยตรง) หญ้าคา, มูลโค, ดอกไม้สีเหลือง แดง, ข้าวตอก, ธูปเทียน, ผลมะพร้าวอ่อน บางทีมีพวงมาลัย, ดอกไม้สด, เมล็ดพืชบางชนิด, และอื่นๆ เมื่อทุกคนไปถึงเทวาลัยแล้ว ก็จะเริ่มพิธีบวงสรวง มีพราหมณ์ในลัทธิไศวนิกายมาท่องบทสวดสรรเสริญพระศิวะ จากคัมภีร์ ๔ เล่มของศิวนิกาย หลังจากนั้นแล้วชาวบ้านก็จะร้องเพลงสวดพร้อมกันต่อหน้าศิวลึงค์ที่ตั้งเป็นสง่าอยู่เบื้องหน้า หลังจากสวดแล้วชาวฮินดูก็จะนำเครื่อง พลีบัตรสังเวยเหล่านั้นทยอยๆ กันเข้าไปบูชาศิวลึงค์และโยนี 
   
                               เมื่อกระทำการคารวะศิวลึงค์แล้วชาวบ้านก็จะเอาข้าวตอก ดอกไม้ ผลมะพร้าวอ่อนที่ทุบจนแตกใบมะตูมโปรยหรือโยนลงไปที่ศิวลึงค์ในกิริยาเคารพ บูชาอ่อนน้อม แล้วเอาน้ำนมสดที่เตรียมมาเทรดลงบนส่วนบน หรือส่วนหัวของอวัยวะเพศชายอย่างช้าๆ น้ำนมสดหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับศิวเทพเพราะเป็นผลิตผลจากแม่โคราชพาหนะของพระเป็นเจ้าเอง เมื่อน้ำนมสดไหลลงมาเป็นสายจากหัวหรือปลายศิวลึงค์แล้วจะมารวมตัวกันที่ร่องระบายน้ำ ซึ่งอยู่ตรงฐาน แล้วน้ำก็ไหลลงสู่เบื้องล่างทางร่องระบายน้ำนั่นเอง ชาวฮินดูเอาสีแดงซึ่งเป็นสีฝุ่นมาทาตรงส่วนบนของศิวลึงค์ก็มี คงหมายถึงการบูชาเพื่อความอบอุ่นสมบูรณ์

                               ในปัจจุบันนี้ พระอิศวรหรือศิวะเทพเคารพที่ชาวฮินดูจำนวนมากเคารพนับถือมากที่สุด พิธีกรรมการบวงสรวงบูชาพระเป็นเจ้าองค์นี้ มีการปฏิบัติกันในหมู่ชาวฮินดูทั้งส่วนตัวภายในที่พักอาศัยของตนและส่วนรวม ในรูปของเทศกาลนักขัตฤกษ์ เป็นงานเอิกเกริกมีการฉลองเทศกาลกันอย่างสนุกสนาน กล่าวได้ว่าศรัทธาความเชื่อถือของชาวฮินดูที่มีต่อเทพฮินดูองค์นี้มีอยู่มั่นคงทั้งในขณะนี้และจะมีอยู่ต่อไปตลอดกาล

                               เทศกาลมหาศิวา-ราตรี หรือ ศิวา- ราตรี  นับได้ว่าเป็นพิธีกรรมทางศาสนา ที่สำคัญและมีชื่อเสียงแพร่หลายมากที่สุดในอินเดียเองและประเทศอื่นๆที่ประชาชนในประเทศนั้นรับนับถือลัทธิไศวนิกายไปปฏิบัติ 

                               เทศกาลนี้จัดทำกันในระหว่างปลายเดือนกุมภาพันธ์- ต้นเดือนมีนาคมของทุกปี เทศกาลมหาศิวาราตรีชาวฮินดูเชื่อกันว่า เป็นคืนแห่งความรำลึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่พระศิวะแสดงอำนาจลักษณะความเป็นมหาเทพหรือเทพที่สูงสุดในศรัทธาความเชื่อถือของชาวอินเดีย

                               สิ่งที่น่าสนใจที่สุดตลอดเทศกาลสำคัญนี้คือชาวฮินดูนับพันนับหมื่นจะมาชุมนุมกันที่ริมฝั่งแม่น้ำในหมู่บ้านหรือในเมืองในมหาศิวาราตรี เขาจะท่องบทสวดสรรเสริญบูชาพระศิวะ หลังจากนั้นก็พากันไปอาบน้ำชำระบาป บ้างก็นำเอาภาชนะ ดินเผาเล็กๆรูปร่างกลมรีหรือคล้ายใบพลูใส่น้ำมันพืชหรือน้ำมันมะพร้าวและมีไส้ทำด้วยเชือกอยู่ตรงกลางภาชนะ เขาจะใช้ไฟจุดที่ไส้น้ำมันนี้ แล้วเอาภาชนะดินเผาเล็กๆนี้มาลอยน้ำ บางแห่งเคยเห็นเขาใช้ภาชนะทองเหลืองรูปร่างกลมๆอย่างที่เห็นปรากฏอยู่ตามเทวสถานโบสถ์ฮินดู ที่ชาวฮินดูใช้ตามไฟ หรือจุดตั้งเป็นแถวหรือเป็นราวในเวลาบูชาพระเจ้านั่นเอง ในภาชนะทองเหลืองนั้นเขาใส่น้ำมันมะพร้าวมีไส้สำหรับจุดไฟด้วย ชาวบ้านนำเอาภาชนะจุดไฟนี้ลอยตามกระแสน้ำเป็นแถวยาวเหยียดแลดูสว่างไสวไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำ ในบางท้องที่ของอินเดีย จะทำพิธีบูชาพระศิวะโดยการร้องเพลงสรรเสริญและเต้นระบำกันตลอดทั้งคืนมหาศิวาราตรีนี้ 



                                                                          

สวัสดี
                                                           ศิริพงศ์    ครุพันธ์กิจ
                                                          ๒๐ มกราคม  ๒๕๕๒
 
http://www.monnut.com/board/index.php?topic=707.0
Top