พระสมเด็จทรงหนุมาน หลังเรียบทาชแล็ค ปี 14 (หลวงปู่ทิมปลุกเสก) - webpra

พระสมเด็จทรงหนุมาน หลังเรียบทาชแล็ค ปี 14 (หลวงปู่ทิมปลุกเสก)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย อิฐ_สงขลา

อิฐ_สงขลา
ผู้เขียน
บทความ : พระสมเด็จทรงหนุมาน หลังเรียบทาชแล็ค ปี 14 (หลวงปู่ทิมปลุกเสก)
จำนวนชม : 3524
เขียนเมื่อวันที่ : จ. - 08 มิ.ย. 2558 - 12:06.41
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

พระชุดนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ (จากหนังสือที่ระลึกอายุครบ ๗๐ ปี พระครูมนูญธรรมวัตร หลวงพ่อสาคร มนุญโญ วัดหนองกรับ ศิษย์เอกหลวงปู่ทิม อิสริโก)
โดยมี คุณหมอไพโรจน์ สหัสโชติ (หมออี๊ด) ซึ่งเป็นหมอประจำอยู่ที่อนามัยบ้านปลวกแดงและเป็นหมอวินิจฉัยโรคที่โรงพยายบาลระยอง หมออี๊ดเป็นคนฉลาดความจำดี สอนง่าย จนเป็นที่รักใคร่ของหลวงปู่ทิม ซึ่งตอนนั้นหมออี๊ด มีอายุได้เพียง ๒๖ ปี หมออี๊ดมีพี่น้องทั้งหมด ๑๓ คน ท่านเป็นคนที่ ๙ ซึ่งครอบครัวของหมออี๊ดถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดี เป็นครอบครัวแรกๆของตลาดไผ่ล้อม หมออี๊ดเป็นคนชอบนั่งสมาธิ เมื่อมีเวลาว่างจะเข้าไปศึกษาวิชากับหลวงปู่ทิม ที่วัดระหารไร่ ซึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากบ้านหมออี๊ด นอกจากนี้หมออี๊ดยังไปศึกษากับพระเกจิทางกำแพงเพชรและภาคเหนืออีกหลายท่าน ระหว่างที่ได้เที่ยวศึกษาวิชาจากพระเกจิต่างๆ ก็ได้เก็บรวบรวมมวลสารต่างๆ ของพระเกจิที่ได้ไปศึกษามาจากหลายๆที่ ซึ่งเป็นพระทางบ้านของภรรยา ปัจจุบันภรรยาของหมออี๊ดยังเป็นพยาบาลอยู่ หมออี๊ดเป็นคนชอบสงบชอบไปนั่งสมาธิฝึกจิต ครั้งหนึ่งหมออี๊ดไปนั่งสมาธิในถ้ำแล้วเจอเหล็กไหลแต่ไม่สามารถตัดเอามาได้ จึงเดินทางมาหาหลวงปู่ทิม แล้วหลวงปู่ทิมให้ของสิ่งหนึ่งกับหมออี๊ดเพื่อไปตัดเหล็กไหล แล้วหมออี๊ดก็กลับไปตัดเอาเหล็กไหลกับมาได้ ก็มีข่าวแพร่ออกไปเป็นข่าวดังทั่วอำเภอบ้านค่าย และมีการนำออกมาลองยิง ปืนไม่สามารถยิงออก สุดท้ายมีนายทหารจะซึ้อและนำออกมาลองยิงอีกก็ไม่สามารถยิงออก จึงตกลงซื้อกันนัดวันจ่ายตังค์ คนซื้อคนขายตกลงกันว่าจะฝากเหล็กไหลไว้กับเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง แต่ถึงวันนัดเจ้าอาวาสได้หายไปพร้อมกับเหล็กไหล
พระรุ่นนี้เป็นพระที่หมออี๊ดได้ร่วมทำพระกับหลวงปู่ทิม ได้กดพิมพ์และปลุกเสกที่วัดระหารไร่ โดยนำมวลสารต่างๆ ที่หมออี๊ดรวมรวมมาและมวลสารหลักที่หลวงปู่ทิมได้มอบให้นำมาผสมโดยมี ผงมหาจินดามณี ผงอิทธิเจ ผงปถมัง ผงตรีนิสิงเห ผงมหาไว สำหรับผงจินดามณีนั้นเป็นผงเมตตามหานิยมชั้นสูง เมื่อทำสำเร็จแล้วสามารถเรียกเนื้อ เรียกปลาได้อย่างในวรรณคดีสังข์ทอง เพราะมีผู้เฒ่าผู้แก่แถววัดละหารไร่เคยเล่าให้ฟังว่า วันดีคืนดีหลวงปู่ทิมของเราท่านจะเดินลุยลงไปในสระน้ำหน้าโบสถ์ หลวงปู่ท่านได้เรียกปลามาห้อมล้อมท่านเต็มไปหมด มีปลาไหลเผือกอยู่คู่หนึ่งด้วย ผู้เฒ่าผู้แก่หลายคนยืนยันให้ฟังอย่างนี้แต่พระชุดนี้จะไม่คอยพบเจอกันมากนักเพราะหมออี๊ดขอหลวงปู่ทำไว้แจกญาติพี่น้อง และถวายหลวงปู่ทิม เอาไว้แจกคนมาทำบุญ มีส่วนหนึ่งที่หมออี๊ดนำมาถวาย หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ ณ ตอนนั้นหลวงพ่อสาครก็ได้ไปศึกษาวิชากับหลวงปู่ทิม ด้วยเหมือนกัน หลวงพ่อสาครก็ได้เก็บรักษาพระชุดนี้ไว้เพราะเป็นวัตถุมงคลของอาจารย์ที่ได้สร้างและปลุกเสกต้องดีแน่นอน สามารถดูพระชุดนี้ได้ที่ พิพิธภัณฑ์พระเครื่องบนหอยันต์ของวัดหนองกรับได้
พระสมเด็จทรงหนุมาน มีทั้งด้านหลังเรียบและหลังแบบซึ่งหลังแบบจะสร้างน้อยมาก พระชุดนี้สร้างด้วยเนื้อผงพุทธคุณล้วน มีทั้งแบบที่ทา ด้วยยางมะตูมและแบบที่ไม่ทา ส่วนใหญ่พระที่พบเจอเป็นเนื้อสีขาว มีบ้างแต่น้อยที่ออกสีดำ

จากการสอบถาม หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ หลวงพ่อสาครบอกว่าพระรุ่นนี้หลวงปู่ทิมได้ทำกับหมออี๊ดสองคนในศาลาวัดละหารไร่และหลวงปู่ทิมปลุกเสก ในขณะนั้นหลวงพ่อสาครได้มาเรียนวิชากับหลวงปู่ทิมจึงเห็นการสร้างของพระชุดนี้เป็นอย่างดี หลวงพ่อสาคร บอกว่าพระรุ่นนี้น่าใช้ หลวงปู่ทิมปลุกเสกดีจริงๆน่าใช้ทีเดียว
ประวัติหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่
หลวงปู่ทิม อิสริโก นามเดิมชื่อ "ทิม งามศรี" เป็นบุตรของนายแจ้า นางอินทร์ เกิดที่บ้านรหัวทุ่งตาบุตร หมู่ที่ 2 ต.ละหาร (ปัจจุบันเป็น หมู่ 1 ต.หนองบัว) อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เกิดเมื่อวันศุกร์ เดือน 7 ปีเถาะ ตรงกับวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2422 เป็นบุตรคนที่ 2 ของครอบครัว
เมื่ออายุ 17 ปี นายแจ้ผู้เป็นบิดา นำตัวไปฝากไว้กับหลวงพ่อสิงห์ (วัดละหารใหญ่) เล่าเรียนหนังสือทั้งไทยและอักษรขอม ประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นขอลาหลวงพ่อสิงห์กลับไปช่วยโยมบิดา มารดา ทำงานบ้าน จนถึงอายุ 19 ปี ท่านจึงถูกคัดเลือกเข้าเป็นลูกหมู่ หรือทหารประจำการในสมัยนั้นอยู่ที่กรุงเทพถึง 4 ปีเศษ จึงได้รับการปลดปล่อยกลับมาอยู่บ้านตามเดิม โยมบิดาจึงได้ขออนุญาตให้ท่านได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา
หลวงปู่ทิม ได้อุปสมบทที่วัดทับมา โดยพระครูขาว เจ้าคณะแขวงเมืองระยอง เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อสิงห์เป็นกรรมวาจาจารย์ เจ้าอธิการเกตุเป็นอนุสาวนาจารย์ โดยทำพิธีอุปสมบทเมื่อวันที่ 7 เดือนมิถุนายน พ.ศ. 2449 ตรงกับปีมะแม เดือน 6 วันเสาร์ ขึ้น 7 ค่ำ ได้รับฉายานามสงฆ์ว่า "อิสริโก" หลังจากบวชแล้วได้ศึกษาเล่าเรียนทางปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานจากหลวงพ่อสิงห์ อาจารย์ของท่าน และศึกษาวิชาต่างๆ จากตำราคู่วัดละหารใหญ่ (เข้าใจว่าเป็นตำหรับเดิมของหลวงปู่สังข์เฒ่า) จนมีความรู้แตกฉานได้ออกจาริกปฏิบัติธุดงค์กับหลวงพ่อยอด นักปฏิบัติที่เป็นอาจารย์ ออกตังค์ไปตามจังหวัดต่างๆ เพื่อเจริญสมณธรรม ออกหาความวิเวกสันโดษ ตามอัธยาศัยเป็นเวลา 3 ปี ครั้นเมื่อใกล้เข้าพรรษากลับมาถึงจังหวัดชลบุรีได้จำพรรษาที่วัดนามะตูมถึง 2 พรรษา ได้เที่ยวร่ำเรียนศึกษาวิชาเพิ่มเติม กับพระเกจิอาจารย์หลายรูป ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่เก่งกล้าอีกลายคน จากนั้นได้กลับมาจำพรรษาที่วัดละหารไร่ และได้รับนิมนต์จากชาวบ้านขึ้นเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ ตั้งแต่พ.ศ. 2450 ท่านได้ก่อสร้างเสนาสนะบูรณซ่อมแซมกุฏิ และถาวรวัตถุอีกหลายอย่าง
หลังจากหลวงปู่ทิม อิสริโก ได้สร้างอุโบสถเสร็จด้วยบารมีของท่านแล้ว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 มิถุนายน 2517 ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันเกิดอายุครบ 95 ปี หลวงปู่ทิมได้วางศิลาฤกษ์ศาลาการเปรียญ "ภาวนาภิรัติ" และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2518 จากนั้นได้สร้างปละปรับปรุงหอฉัน "อุตตโม" หลวงพ่อทิมมีตำแหน่งครั้งสุดท้ายเป็นพระครูภาวนาภิรัติ ชาวบ้านโดยทั่วไปนิยมเรียกว่า "หลวงปู่ทิมฎ ซึ่งท่านได้มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อเวลา 23.00 น. ของวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ณ หน้าหอสวดมนต์ วัดละหารไร่ หลังจากรักษาตัวที่โรงพยาบาลสมเด็จ ณ ศรีราชา เป็นเวลา 23 วัน คณะศิษย์จึงได้ตั้งศพบำเพ็ญกุศล ณ วัดละหารไร่ และเก้บศพไว้บนศาลาภาวนาภิรัติ โดยขอพระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ.2526 ณ เมรุวัดละหารไร่
หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านเป็นพระที่ปฏิบัติเป็นพระที่ยึดมั่นในพระธรรมและพระวินัยขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระมักน้อย สันโดษ ไม่ยินดียินร้ายในรูปรส กลิ่น เสียง ฉันอาหารเจเป็นประจำ ฉันภัตราหารมื้อเดียวเวลาประมาณ 7.00น. และฉันน้ำชาประมาณ 4 โมงเย็น จะไม่มีการฉันเพลเลย อาหารประเภทเนื้อสัตว์ หรืออาหารคาวทุกชนิดท่านจะไม่ยอมฉัน แม้แต่น้ำปลา อาหารที่ท่านฉันส่วนใหญ่จะเป็นผัก ถั่ว หรือน้ำพริกกับเกลือป่น ปฏิบัติอย่างนี้เป็นเวลาถึง 50 ปี ร่างกายผิวพรรณของท่านก็ปกติอยู่ตามเดิม พละกำลังของท่านยังดีแะลสมบูรณ์อยู่เช่นเดิม ร่างกายอ้วนท้วนพอสมควร ทั้งนี้คงเป็นเพระบุญบารมีของท่านที่สะสมมา จึงทำให้ท่านเป็นพระที่เคร่งครัด และบริสุทธิ์ในพระธรรมวินัย ดำรงชีวิตอยู่ได้ถึง 96 ปี อายุพรรษา 72 พรรษา และได้มรณภาพด้วยโรคชรา หลังจากเข้ารับการรักษาจาก
และวันที่ 16 ตุลาคม ของทุกปี วัดละหารไร่และคณะศิษย์จะร่วมกันจัดงานวันระลึกถึงหลวงปู่ทิม ซึ่งก็มีลูกศิษย์มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก
พุทธคุณเด่นในด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยพุทธคุณจึงแรงมากๆๆๆ และมีประสบการณ์สูงมาก จึงเหมาะมากสำหรับผู้ที่อยากให้ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญเติบโตก้าวหน้า หรือ ผู้ที่มีใจใฝ่ทางด้านการเสี่ยงโชคลาภทุกชนิด ควรมีไว้บูชาพกพาติดตัวไว้เป็นอย่างเนืองนิจ ทั้งผู้ที่นิยม และศรัทธา รวมไปถึงผู้นำ นักการปกครอง ผู้บังคับบัญชา หรือ นักบริหารทุกระดับชั้น ข้าราชการทุกตำแหน่ง ทุกประเภทไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย นายทหารทุกเหล่าทัพ (โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติภารกิจอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ตำรวจ ครูบาอาจารย์ นักพูด นักขาย (ที่ต้องหายอดลูกค้า) นักเจรจา ดารา นักร้อง นักแสดง ผู้ที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นทุกประเภท นักกีฬาทุกประเภท นักทำมาหากินทุกประเภท มนุษย์เงินเดือน ผู้ที่ต้องแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าทั้งโดยตรง หรือโดยอ้อม พ่อค้า แม่ค้า ประชาชนทั่วไป ก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน ควรมีไว้บูชาเป็นอย่างยิ่ง

พุทธคุณแรงเกินราคา คุ้มค่ามากๆๆๆ กับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน การมีชื่อเสียง ตำแหน่งที่สูงขึ้น การมีโชคลาภขั้นสูง มหาเสน่ห์ มหานิยมที่รุนแรงต่อเพศตรงข้าม การชนะเหนือคู่แข่งขันทั้งหลาย ฯลฯ เป็นต้น

คาถาของหลวงปู่ทิม
"มะอะอุ ทุกขัง อนิจัง อนัตตา พุทโธ พุทโธ"
หลวงปู่ทิมท่านว่าเป็นคาถาที่ดีและก็สั้น และพุทธคุณของคาถาบทนี้ก็สูงมากอยู่ที่คนปฏิบัติ ท่านยังกรุณาเล่าให้ฟังว่า มีใครคนหนึ่งที่อยู่ตลาดมาปรับทุกข์ให้ท่านฟังว่า ขายของก็ไม่ดีทะเลาะกับเมีอยู่ที่บ้านแทบทุกวัน ญาติพี่น้องต่างเกลียดชัง อยากจะขอคาถาให้เขารัก หลวงปู่จึงให้คาถาบทนี้ไป ปรากฏว่าเดี๋ยวนี้ ชายผู้นั้นมีความสุขแล้ว จะไปไหนเมียก็ตามไปด้วย ญาติพี่น้องก็รักใครกันดี ผู้เขียนจึงมั่นใจว่าพุทธานุภาพในคาถาบทนี้จะประสบผลสำหรับผู้ที่ปฏิบัติเป็นประจำสม่ำเสมอ ถ้าผู้ใดได้รับคาถานี้ไป ขอให้นึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคุณหลวงปู่ทิมเป็นที่ตั้งทุกอย่างก็จะอำนวยโชคพอสมควรกับบุญกรรมของบุคคลนั้น

พระสมเด็จทรงหนุมาน หลังเรียบทาชแล็ค ปี 14 (หลวงปู่ทิมปลุกเสก)
พระสมเด็จทรงหนุมาน หลังเรียบทาชแล็ค ปี 14 (หลวงปู่ทิมปลุกเสก)
Top