คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) - webpra

คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
จำนวนชม : 1520
เขียนเมื่อวันที่ : จ. - 25 ก.พ. 2556 - 15:27.27
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

ท่านทั้งหลายตั้งใจรวบรวมกำลังจิตของท่านให้เป็นสมาธิ ในอันดับแรก สิ่งที่ท่านทั้งหลายจะลืมไม่ได้ นั่นก็คือรวบรวมกำลังใจไว้ในอิทธิบาททั้งสี่ประการ คือ

ฉันทะ พอใจในความดีตามพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำ

สองวิริยะ หักห้ามความชั่วอย่าให้เกิดขึ้นกับจิต

สามสนใจในพระธรรมปฏิปทาที่องค์พระธรรมสามิสร์สอนไว้เพื่อละกิเลส

สี่พิจารณาตามพระธรรมเทศนาขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ด้วยอำนาจของปัญญาที่เรียกกันว่าวิมังสา

ฉะนั้น คำครหานินทาใดๆ ก็ไม่มีแก่พวกท่าน เราตั้งใจละกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน อันดับแรก รวบรวมกำลังใจให้เป็นสมาธิ พยายามตัดโลภะ ความโลภ ตัดโทสะ ความโกรธ ตัดโมหะ ความหลง ด้วยพิจารณาให้ตรงจุดของความเป็นจริงว่า คนที่เกิดมานี่ไม่ว่าชายหรือหญิง เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความแปรปรวนในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด

พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอทั้งหลายจงอย่าสนใจร่างกายของตนเอง จงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่น จงอย่าสนใจในทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เพราะว่าสิ่งทั้งหลายในโลกนี้มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายถ้าเป็นเราจริงมันก็ทรงสภาพอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย แต่ทว่าร่างกายของเราเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ไม่ทรงสภาพ ในที่สุดมันก็เข้าถึงขั้นสลายตัว เมื่อเราจะต้องตายทรัพย์สมบัติของเราทั้งหลายในโลกมันก็ไม่ตามเราไป แม้แต่ร่างกายที่เรารักที่สุดมันก็ไม่ตามเราไป มันคงจมอยู่ในพื้นปฐพีเป็นปกติ อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำให้คิดไว้อยู่เสมอ อย่างเผลอไปในด้านของความโลภ อย่าเผลอไปในด้านของความทะเยอทะยาน อย่าเผลอให้จิตใจมีความโกรธ ความพยาบาท อย่าเผลอให้ความนึกคิดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา อารมณ์อย่างนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ ฉะนั้น ขอทุกท่านจงรักษากำลังใจอย่างนี้ไว้เป็นปกติ ถ้าหากว่าใจของท่านกระสับกระส่าย จงรักษาอานาปานสติกรรมฐาน มีกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกให้ทรงตัว ยังไม่ต้องคิดอะไรทั้งหมด กำหนดจิตรู้เฉพาะลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านั้น หายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้นรู้อยู่ ถ้าทำอย่างนี้อารมณ์จิตของท่านจะไม่ฟุ้งซ่าน

สำหรับวันนี้จะขอนำนิพพิทาญาณที่กล่าวไว้แต่วันก่อน ว่าจิตของท่านทั้งหลายที่เข้าถึงนิพพิทาญาณ ความจริงในคณะของเราผมจะไม่กล่าวถึงพระ จะไม่กล่าวถึงบุคคลที่อยู่ในสำนัก เพราะว่าฟังกันวันละสี่เวลา อาจจะได้เปรียบกับบุคคลภายนอก เพราะบุคคลภายนอกมารับฟังวันละครั้งสองครั้ง เดือนละครั้งสองครั้งแล้วก็กลับ บางรายหลายๆ เดือนจะมาสักครั้งหนึ่งแล้วก็กลับ แต่ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้น แม้แต่เพียงเด็กอายุ ๒๔-๒๕ ปี เป็นเด็กหญิง เธอก็มีอารมณ์เข้าถึงนิพพิทาญาณ คำว่านิพพิทาญาณแปลว่าความเบื่อหน่ายต่อชีวิต มีบางคนคิดจนกระทั่งไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อพูดถึงอารมณ์ใจที่จะต้องทรงอยู่ ถึงลูกน้อยกับสามี เธอก็หลั่งน้ำตากล่าวว่าเบื่อ นี่อย่างนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่าท่านผู้นั้นปฏิบัติเข้าถึงความดีเป็นที่น่าสรรเสริญอย่างยิ่ง

แต่สำหรับนิพพิทาญาณในจุดนี้ ถ้าหากว่าบังเกิดขึ้นกับท่านผู้ใด ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย จงระมัดระวังใจให้ดีที่สุด อย่าพยายามทำอัตวินิบาตกรรมคือการฆ่าตนเอง มันเป็นโทษ คือ อารมณ์จิตจะเศร้าหมอง ทั้งนี้เพราะในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ในสมัยนั้น องค์สมเด็จพระบรมครูได้แนะนำบรรดาท่านพุทธบริษัท มีบรรดาพระภิกษุเป็นต้น ให้รู้กำลังใจของตนว่า ร่างกายของเรานี้มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายมีสภาพโสโครกสกปรก ไม่มีอะไรน่ารัก ไม่มีอะไรเป็นที่น่านิยมชมเชย เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแนะนำอย่างนี้ ปรากฏว่าบรรดาภิกษุทั้งหลายพากันเบื่อหน่ายในร่างกายของตน เมื่อลับตาองค์สมเด็จพระทศพลแล้ว เพราะอาศัยที่เธอเบื่อหน่าย เพราะเกิดนิพพิทาญาณเห็นว่าขันธ์ห้าคือร่างกายสกปรก ขันธ์ห้าคือร่างกายเต็มไปด้วยความทุกข์ จะต้องปรนเปรออยู่ตลอดเวลา กินเท่าไรไม่รู้จักอิ่ม ถ่ายเท่าไรไม่รู้จักหมด ร่างกายมีแต่อาการทรยศ ไม่ซื่อสัตย์สุจริต บรรดาพวกพระทั้งหลายเหล่านั้นจึงพากันคิดว่าร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นปัจจัยของความทุกข์ เบื่อหน่ายในร่างกาย จ้างปริพาชกให้ฆ่าตนว่า เธอจงเอามีดฟันคอพวกเรา เมื่อเราตายแล้วจงนำร่างกายบริขารเหล่านี้ไป เป็นเหตุให้ปริพาชกคนนั้นฆ่าพระตายเสียมากมายหลายสิบท่านด้วยกัน ต่อมาความเรื่องนี้ทราบถึงองค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้มีพระพุทธบัญญัติห้ามพระสงฆ์ทั้งหลายทำอัตวินิบาตกรรม คำว่าอัตนิวิบาตกรรมก็คือการฆ่าตนเอง ถ้าใครทำอย่างนั้นทรงปรับเป็นโทษ ทั้งนี้เพราะว่าอารมณ์จิตมัวหมองอย่างนั้นไม่ใช่ว่าจะไปนิพพานได้ เพราะกำลังใจไม่บริสุทธิ์ คิดเบื่อหน่ายเห็นว่าร่างกายเป็นศัตรู อารมณ์มันก็เศร้าหมอง ทางที่จะไปใกล้พระนิพพานอยู่แล้วกลับเลี้ยวลงมาหาความเศร้าหมองของจิตอย่างนี้ อาจจะหลั่งไหลไปสู่อเวจีมหานรกก็ได้

ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้ทรงแนะนำบรรดาพระภิกษุทั้งหลายว่า ภิกเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านปฏิบัติร่างกายของท่าน พิจารณาร่างกายของท่าน ใคร่ครวญขยายออก กระจายออก คือ

พิจารณาอันดับแรกเป็นธาตุสี่ ว่าร่างกายของเรานี้เป็น ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุน้ำ มันประกอบเข้ามาเป็นร่างกาย เรามีความเข้าใจว่าร่างกายเป็นแท่งทึบ แต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ ร่างกายของเราแบ่งออกเป็นอาการสามสิบสอง มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เป็นต้น ทั้งหมดนี้รวมเข้าแล้วเป็นกาย แต่ทว่าร่างกายเหล่านี้มันเต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มันเต็มไปด้วยความอนิจจัง คือ หาความเที่ยงไม่ได้ มันเต็มไปด้วยทุกขัง คือเต็มไปด้วยความทุกข์ ไม่มีความสุข มันเต็มไปด้วยอนัตตา คือ มันสลายตัวไปทีละน้อยๆ ทุกเวลาที่เคลื่อนไป

เธอทั้งหลาย จงอย่าสนใจในร่างกายของเธอ จงอย่าสนใจในร่างกายของบุคคลอื่น จงอย่าสนใจในทรัพย์สินทั้งหลาย

จงทำลายความรักในเพศด้วยอำนาจอสุภสัญญา

จงทำลายความโลภด้วยการตัดความอยากได้ด้วยการให้ทาน อย่าทะเยอทะยานในทรัพย์สินที่ไม่ใช่เป็นของดี เป็นปัจจัยให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร

อย่าสนใจในความโกรธ ความพยาบาท ในบุคคลทั้งหลาย ใครเขาจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา เขาจะนินทาว่าร้ายว่าเรา ถ้าบังเอิญเราเป็นคนดีก็ไม่เลวไปตามคำพูด ถ้าเขาสรรเสริญว่าเราดี ถ้าเราเลวเราก็ไม่ดีไปตามคำเขาพูด ความดีและความชั่วอยู่ที่ความประพฤติปฏิบัติเป็นสำคัญ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ใครจะว่าดีว่าเลวก็ช่าง อย่าสนใจทั้งสองประการ เราปฏิบัติตามคำแนะนำขององค์สมเด็จพระพิชิตมารเท่านั้นเป็นพอ เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนอย่างนี้

ต่อไปองค์สมเด็จพระชินสีห์ก็ทรงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมาในชีวิต จงอย่าคิดว่าเราจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปชั่วกาลนาน เพราะว่าชีวิตร่างกายของเรานั้นมันไม่มีอะไรเป็นความสุข มันมีแต่ความทุกข์ มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน

แต่ว่าเมื่อท่านทั้งหลายพิจารณาอย่างนี้แล้ว ถ้าหากว่าความเบื่อหน่ายมันเกิดขึ้นด้วยว่าเรากระจายออกแล้วจงรวมเข้า คิดถึงว่าถ้าร่างกายของเรายังไม่หมดอายุขัยเพียงใด จงอย่าด่วนทำลายเสีย ให้มันทรงอยู่อย่างนั้น ด้วยว่าการทรงอยู่ของร่างกายถึงแม้ว่าเป็นทางนำมาซึ่งความทุกข์ แต่ทว่าถ้าจิตใจของเรามีความสุข ยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่าร่างกายที่ประกอบไปด้วยธาตุสี่ มีความสกปรก มีความไม่จีรังยั่งยืนอย่างนี้ ที่เราอาศัยอยู่นี้มันสกปรกจริง มันเป็นทุกข์จริง แต่มันมีความเกิดขึ้นแล้วมีการเสื่อมไป แล้วมีการสลายไปในที่สุด เราจำจะต้องยอมบริหารกายก็จริงแหล่ แต่ทว่าอย่าเพิ่งทำลายมันเสีย ทั้งนี้เพราะเมื่อจิตใจเราเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่าย ตอนนี้กำลังใจของเรายังไม่เข้าถึงความเป็นพระอรหัตผล ชื่อว่ายังเป็นคนผู้ทรงญาณมีวิปัสสนาญาณพอสมควรเท่านั้น

กำลังใจของเราจะทรงให้ได้ดีจริงๆ ต้องน้อมใจของเรานี้ไปฝึกไปด้วยปัญญาพิจารณาหาความจริง จิตใจตั้งอยู่ในสังขารุเปกขาญาณ นั่นก็คือมีอาการวางเฉยตามสภาวะของสังขาร คือ ร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างในโลก มีความรู้ตามความจริงว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นอนิจจัง คนก็เป็นอนิจจัง สัตว์ก็เป็นอนิจจัง วัตถุในโลกก็เป็นอนิจจัง คำว่าอนิจจังแปลว่ามันไม่เที่ยง เรารู้ตามความเป็นจริงของมันว่ามันไม่เที่ยง ในเมื่อมันไม่เที่ยง เรายอมรับนับถือความไม่เที่ยงของมัน มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกหาอะไรเที่ยงไม่ได้

แต่ว่าเมื่อมันไม่เที่ยง เราก็ทำใจของเราให้เที่ยง ทำใจของเราให้เที่ยง มันเที่ยงตรงไหน เที่ยงตรงที่มันมีความรู้สึกตามกฎของธรรมดาอยู่เสมอว่า ร่างกายก็ดี วัตถุธาตุก็ดี ที่เกิดมาในโลกนี้มันไม่เที่ยง มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นและก็มีความแปรปรวนไปในท่ามกลาง มีการแตกสลายตัวไปในที่สุด

สภาพของมันเป็นอย่างนี้ เมื่อสภาพของมันเป็นอย่างนี้เราก็ทรงจิตของเราให้เที่ยง มีความรู้สึกอยู่เสมอว่าร่างกายของเราก็ดี ร่างกายของบุคคลอื่นก็ดี เมื่อมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้นแล้ว มันก็ค่อยๆ คลานเข้าไปหาความเสื่อม หรือคลานเข้าไปหาความตาย ทุกขณะจิต ทุกเวลาสภาวะของร่างกายนี้จะต้องประคบประหงมมันด้วยอาหาร ยารักษาโรค ด้วยอาภรณ์เป็นเครื่องปกคลุมกาย มีบ้านเรือนเป็นเครื่องอาศัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์ใจของคนที่เราจำเป็นจะต้องรับสัมผัส คือ อารมณ์ทั้งความชมและความติ

เป็นอันว่าเรารู้ใจมันเสียหมด รู้เท่าทันมันเสียให้หมด ว่าปกติของโลกก็ดี ปกติของชาวโลกก็ดี ไม่มีอะไรจริง คำว่าไม่เที่ยงก็คือไม่จริงจัง ร่างกายของเรามันเป็นของเรา มันก็เป็นของเราไม่จริง ไม่ช้ามันก็พัง อาการป่วยไข้ไม่สบายเป็นอาการปกติของร่างกาย ความแก่เฒ่าเป็นความปกติของร่างกาย การสัมผัสกับอารมณ์ที่เราชอบใจบ้างไม่ชอบใจบ้างเป็นธรรมดาอารมณ์ของชาวโลก เวลาเกิดมาแล้ว มีกิจที่จะต้องทำในฐานะที่เป็นหัวหน้าครอบครัว ในฐานะที่เป็นบุคคลใต้บังคับบัญชาของครอบครัว เราปฏิบัติตามหน้าที่ให้ครบถ้วนเพราะว่าเราไม่ทุกข์

ท่านบอกว่า ชราปิ ทุกขา ความแก่เป็นทุกข์ ที่มันจะทุกข์ได้เพราะใจเราเข้าไปยึด ถ้าเราวางเป็นสังขารุเปกขาญาณ คำว่าสังขารุเปกาญาณแปลว่าความวางเฉยในขันธ์ห้าหรือสังขารเมื่อมันจะแก่ก็เชิญแก่ เพราะเรารู้ว่ามันจะแก่ เมื่อความแก่เข้ามาถึงจริงๆ จิตใจเราก็เฉยไม่มีทุกข์ ไม่มีทุกข์ตอนที่เรียกว่ามันจะแก่ก็เชิญแก่ เพราะเรารู้ว่ามันจะแก่

เมื่อความป่วยไข้ไม่สบายเข้ามาถึง มันเป็นความทุกข์ ถ้าเราไม่ยึด ถ้าหากว่ามีสังขารุเปกขาญาณความวางเฉย รู้อยู่แล้วว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดจะต้องป่วย ในเมื่อมันป่วยเข้ามาจริงๆ เราก็เฉย ถือว่ามันเป็นธรรมดา รักษาหายก็หาย รักษาไม่หายตายก็ช่างมัน เราก็รักษามันไปตามหน้าที่ เป็นการระงับเวทนา ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจากการป่วยไข้ไม่สบายก็ดี เกิดขึ้นจากความหิวความกระหายต้องการในอาหารก็ดี ทุกขเวทนาเกิดขึ้นจากความหนาวความร้อนก็ดี เราไม่วิตกกังวล เฉยเพราะถือว่าธรรมดาของร่างกายเป็นอย่างนี้ ต่อมาเมื่อความตายจะเข้ามาถึง ใจก็เฉย มีอารมณ์ใจสงบ ทั้งนี้เพราะเราทราบอยู่แล้วว่าร่างกายมันจะตาย

เป็นอันว่าถ้าท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีอารมณ์ใจเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณ มันก็มีการวางเฉยในทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นไปตามสภาวะของขันธ์ห้าคือร่างกาย ใจก็เป็นสุข เมื่อจิตใจของเราวางเฉยในขันธ์ห้าเสียได้แล้วก็เฉยภายนอกทั้งหมด ร่างกายของใครจะพัง ที่เป็นญาติ เป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นคนรัก ใจเราก็เฉย มันเฉยในร่างกายของเราได้แล้ว กายของบุคคลอื่นที่เราจะเห็นว่าสำคัญกว่ากายของเรานี่มันไม่มี

องค์สมเด็จพระชินสีห์ทรงกล่าวต่อไปว่า บุคคลที่มีกำลังใจเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณมีอารมณ์จิตเป็นสุข สุขตอนที่ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา จิตก็เฉยในกามารมณ์ คือความรักในเพศ คือเฉยในรูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ เฉย ถ้าไม่ยืนเฉย เห็นว่ามันสกปรก มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ก็ไม่สนใจอะไรกับมัน และก็เฉยในความโลภอยากจะร่ำรวย ประกอบอาชีพในทางทุจริตคิดมิชอบ ไม่ถูกตามระบอบของพระธรรมวินัย ไม่ยื้อแย่งทรัพย์สมบัติของใคร หามาได้เท่าไรพอใจเท่านั้นด้วยความสุจริต ไม่หาเลี้ยงชีพโดยไม่ชอบธรรม เฉยในความโลภ เพราะเมื่อเฉยในร่างกายได้ มันก็เฉยในความโลภได้ ถ้าเฉยในร่างกายได้ มันก็เฉยในความโกรธได้ เพราะคนที่เขาจะด่า จะว่า จะนินทา เขาด่า เขาว่า เขานินทากาย เมื่อเราไม่สนใจในกาย จิตของเราก็สบายมีความสุข อยากจะด่าก็เชิญ อยากจะว่าก็เชิญ เพราะคนที่ด่าที่ว่าเรานี่ไม่มีสาระ ไม่มีแก่นสาร ไม่มีอะไรเป็นสรณะที่เราจะยอมรับฟังได้ด้วยความเชื่อถือ เราเฉยได้เพราะเห็นว่าคำนินทาว่าร้ายไม่เป็นประโยชน์ สรรเสริญก็ไม่เป็นประโยชน์ นินทาก็ไม่เป็นโทษ เพราะเราไม่ยอมรับ และเราก็เฉยในการยึดมั่นถือมั่นในสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกทั้งหมด ปรากฎว่าเราไม่ยินดียินร้ายในเรื่องอะไรทั้งหมด จิตมันก็เป็นสุข เมื่อจิตเป็นสุขอย่างนี้ องค์พระมหามุนีทรงกล่าวว่าเราเป็นพระอรหันต์ อรหันต์แปลว่าเป็นผู้ไกลจากกิเลส เป็นผู้ไกลจากความเกาะในอารมณ์ทั้งปวง ในขันธ์ห้าของร่างกาย ขันธ์ห้าในร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุทั้งหมด นี่แหละ บรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมสุคต จงกำหนดทรงอารมณ์ไว้อย่างนี้เป็นปกติ ความสุขจะเข้ามาถึงท่าน นั่นก็คือพระนิพพาน

เอาละ สำหรับวันนี้ เวลาสำหรับการที่จะแนะนำกันก็หมดแล้ว ก็ขอยุติก่อน ขอสาวกขององค์สมเด็จพระชินวรจงทรงอารมณ์ใจตามที่กล่าวมาแล้วนี้ในอิริยาบถทั้งสี่ จะนั่งก็ได้ จะยืนก็ได้ จะเดินก็ได้ จะนอนก็ได้ ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของท่าน จนกว่าจะได้เวลากาลอันสมควร

คำสอน พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)
Top