ภาษิตธรรมของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร) - webpra

ภาษิตธรรมของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย Sakarindrstar

Sakarindrstar
ผู้เขียน
บทความ : ภาษิตธรรมของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร)
จำนวนชม : 1430
เขียนเมื่อวันที่ : อา. - 03 ก.พ. 2556 - 16:58.11
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พ. - 06 ก.พ. 2556 - 08:28.34
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

ท่าน พ่อเกิดเมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๓๔ ตรงกับวันอาทิตย์ขึ้น ๖ ค่ำ เดือน ๖ ปีเถาะ เกิดที่หมู่ ๘ ต.บางโทรัด อ.เมือง จ.สมุทรสาคร หมู่บ้านเกิดของท่านเรียกว่า "บ้านบน" เพราะอยู่เหนือศูนย์กลางคือวัดขึ้นไปข้างบน ท่านพ่อเป็นบุตรคนที่ ๒ ของปู่แพ คุณย่านุ่ม คุณาบุตร มีพี่และน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันทั้งหมด ๖ คน คือ
๑. นางสาวเจือ คุณาบุตร
๒. ท่านพ่อบัณฑูรย์สิงห์ (เจิม คุณาบุตร)
๓. แม่เจียม คุณาบุตร หรือบุญเลี่ยม
๔. พ่อแถบ คุณาบุตร (โยมบิดาของหลวงพ่อวัดเกตุมดีฯ)
๕. พ่อพ้อง คุณาบุตร
๖. พ่อยอด คุณาบุตร
 
ชีวิต เมื่อเยาว์วัยของท่านพ่อตามคำบอกเล่าของพ่อแถบ คุณาบุตร ว่าท่านสงบเสงี่ยม และสามารถอดกลั้นต่ออารมณ์ต่าง ๆ ได้ดีเป็นเยี่ยม เมื่อายุได้ ๑๑ ปี ได้ไปเรียนหนังสืออยู่กับหลวงพ่อเพชร เจ้าอาวาสวัดตรีจินดาราม (วัดสามจีน) สมุทรสาคร พออายุได้ ๑๔ ปี จึงได้ย้ายไปอยู่กับหลวงพ่อสมุห์เทศ วัดใหญ่บ้านบ่อ สมุทรสาคร เพื่อเรียนหนังสือต่อในชั้นสูงขึ้นไปอีก
 
เมื่อ อายุได้ ๑๕ ปี จึงได้บวชเป็นสามเณร เมื่อท่านเรียนหนังสือได้สูงขึ้นหลวงพ่อเห็นว่าเป็นเด็กดีมีแวว ทั้งสติปัญญาก็เฉลียวฉลาดกว่าเพื่อน หมดความรู้ที่อาจารย์จะสอน จึงได้แนะนำให้มาศึกษาต่อกับอาจารย์ทองดี (เปรียญ) ที่วัดบางพลีใหญ่ เหนือบ้านเกิดขึ้นไปอีกตำบลหนึ่ง ท่านพ่อได้ศึกษาภาษามคธ-บาลี ทั้งเรียนหนังสือขอมไปด้วย
 
ท่าน พ่อบวชเป็นสามเณรอยู่จนอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ บิดามารดาจึงจัดการอุปสมบทให้เป็นพระภิกษุ ณ วัดบางพลีใหญ่นั่นเอง พระอุปัชฌาย์ของท่านพ่อ คือหลวงพ่อนิล วัดตึก สมุทรสาคร หลวงพ่อเทศ หลวงพ่อนิตย์ วัดใหญ่บ้านบ่อเป็นกรรมวาจาจารย์
 
เมื่อ ท่านพ่ออุปสมบทแล้ว ญาติโยมได้นิมนต์ให้มาอยู่ที่สำนักสงฆ์บางโทรัด เพราะใกล้บ้าน โปรดญาติโยมได้สะดวก สำนักสงฆ์บางโทรัด ปู่แพ ย่านุ่ม คุณาบุตร ซึ่งเป็นโยมบิดามารดา เป็นผู้สร้าง จึงต้องการให้ท่านพ่อมาดูแลและบูรณะให้ดีขึ้นไปอีก
 
เมื่อ ท่านพ่อย้ายมาอยู่ตามความตั้งใจของโยมบิดามารดา สำนักสงฆ์แห่งนี้มีพระอยู่ ๒ หรือ ๓ รูปเท่านั้น กุฏิก็โย้เย้แทบจะพังมิพังอยู่แล้ว โบสถ์ที่จะใช้ทำสังฆกิจก็ไม่มี เมื่อท่านพ่อมาอยู่สำนักนี้ ท่านก็ได้สร้างหรือซ่อมสิ่งที่ชำรุดทรุดโทรม ให้ดีขึ้นและใช้การได้ต่อไป
 
เมื่อ อยู่ได้ ๓ พรรษา ก็ได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้า และได้ดำเนินการขอพระราชทานวิสุงคามสีมา และได้สร้างพระอุโบสถขึ้น เป็นแบบเรือนไทยเตี้ย ๆ สำเร็จพร้อมทั้งปรับปรุงกุฏิที่โย้เย้ให้ดีเหมือนเดิมจนใช้การได้ นับตั้งแต่นั้นมา ก็มีโบสถ์สำหรับสงฆ์ทำสังฆกิจได้ในวัด โดยไม่ต้องไปอาศัยวัดอื่น ทั้งศาลาการเปรียญและเสนาสนะอื่น ๆ ก็ซ่อมให้ดีขึ้น
 
ท่าน ได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อรุณ วัดช้างเผือก อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงครามและขอเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงพ่อรุณทุกป ได้เข้าอยู่ปริวาสกรรมก่อนเดินธุดงค์ ได้บรรลุธรรมในขณะอยู่ปริวาส
 
ตาม คำบอกเล่าของท่านว่าได้เห็นในร่างกายโปร่งชัดเจน เหมือนกระจกแก้วในไปทั้งร่าง ครั้งแรกแปลกใจ แต่เก็บความรู้สึกไว้สอบสวนอยู่่ทุกคืน และโอกาศที่ได้นั่งกรรมฐาน จนแน่ชัดแล้วจึงคิดว่าเมื่อเราเห็นในตัวชัดแจ้งอย่างนี้แล้ว ในดินตรงหน้านี้มีอะไรบ้าง ก็เห็นในพิ้นดินแจ้งไปหมด สงสัยที่ตรงไหนตรงนั้นก็เห็น ไม่มีสิ่งใดบังกั้นเลยเป็นเวลานาน
 
เมื่อ เข้าหมู่สงฆ์หลวงพ่อรุณทราบด้วยฌาน ก็ยกย่องในหมู่คณะสงฆ์นั้นว่า "คุณเจิม" รู้ธรรมแล้ว (ปกติหลวงพ่อรุณท่านไม่ได้พูดหรือสอนมาก เพราะท่านสร้างบารมีเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า) ได้แต่บอกวิธีปฏิบัติให้ เมื่อใครปฏิบัติดีท่านก็ยกย่องขึ้น
 
ต่อ มาท่านพ่อได้พิจารณาถึงว่า ท่านได้เกิดมากี่ชาติสร้างบารมีอะไรมา ท่านก็ระลึกชาติแต่หนหลังได้ว่า เกิดมาแล้ว ๙๒ กัลป์ เคยอธิษฐานสร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์มาตลอด ได้รับพยากรณ์จากพระสมณโคดมพุทธเจ้าพระองค์นี้ในชาติที่เกิด เป็นช้างนาราคิริงและจะเกิดมาในตระกูลสามัญชนอีกเพียงชาตินี้เท่านั้น ต่อไปก็จะไปเกิดเมื่อพระศรีอาริยเมตตรัยมาตรัสรู้เป็นพระสัมสัมพุทธเจ้า ท่านจะเป็นพระพุทธอุปัฏฐากบำรุงอยู่ตลอด ถึงพระศรีอริยเมตตรัยดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านพ่อก็จะยับยั้งอยู่ดุสิตเทวโลก จนกว่าถึงสมัยที่ท่านจะมาตรัสรู้เป็นพระสัมสัมพุทธเจ้าพระองค์ที่ ๑๐ ในพุทธกาลหน้า
 
ท่าน บวชได้ ๕ พรรษา พิจารณาว่าต่อไปจะเริ่งสร้างบารมี ถ้าจะอยู่ในสมณเพศก็จะคับแคบ เพราะจะต้องสงเคราะห์ญาติด้วยอาการต่าง ๆ จะทำให้พระธรรมวินัยของพระสมณโคดมแปดเปื้อนเป็นมลทิน ทั้งจะทำให้ผู้ที่เพ้อเจ้อโง่เขลา  เบาปัญญาต้องมีโทษต่าง ๆ อีกด้วย   ท่านก็เลยปลงจิตลาสิกขาบทจากสมณเพศมาปฏิบัติธรรมในฐานะฆราวาส  โดยตั้งอยู่ในศีล ๕ เป็นปกติ วันพระก็รับศีลอุโบสถเป็นประจำ ส่วนอาชีพอื่น ๆ ตามบรรพบุรุษก็ถือแบบทำมาโดยตลอดเยี่ยงบุคลสามัญทั้งหลาย
 
บิดา มารดาเห็นสมควรให้ครองเรือนโดยสู่ขอแม่เรียบ รสทองให้แต่งงานอยู่กินแบบบุคคลทั่วไป ท่านก็อนุโลมตาม ลาสิกขาบทมาได้ ต ปี ก็แต่งงานอายุ ๓๐ ปี แต่ยังมิได้บอกใครว่าได้บรรลุธรรมอันใด
 
ท่่าน ทำนาเกลือเมื่อหน้าแล้ง พอหน้าฝนท่านก็ข้ามมาฝั่งตรงข้ามคือ วัดเกตุมดีฯ ในปัจจุบัน แต่สมัยก่อนเหมือนยังอยู่ในป่าห่างจากบ้านเดิมประมาณ ๒ กิโลเมตร ท่านได้มาแผ้วถางที่บริเวณพระธาตุองค์เก่าที่เหลือแต่ซากหักพังบริเวณใกล้ ๆ ท่าน ปลูกข้าวปีหนึ่ง ๆ ก็ได้ข้าวพอสมควร แต่มักจะมีฝูงนกใหญ่ ๆ มากิน ท่านไม่ไล่และไม่ให้ใครไล่ ท่านบอกว่าให้ทานนกกินก็แล้วกัน (ต่อมาท่านจึงบอกว่าไม่ประสงค์จะมาปลูกเอาข้าวจะมานั่งพักอยู่    เพื่อนั่งตรวจสถานที่ให้แน่นอนว่า เป็นที่สร้างบารมีแน่ชัดหรือไม่)
 
เมื่อ ท่านอายุได้ ๓๕ ปี ท่านก็ได้เปิดเผยการปฏิบัติธรรมจะขอเริ่มสร้างบารมี โดยครั้งแรกท่านได้ไปกราบบิดามารดาของท่านที่เท้า แล้วบอกว่าได้รู้เห็นธรรมอย่างนั้น ๆ มาตั้งแต่บวช ต่อไปนี้สมควรที่จะสร้างบารมีต่อไปแล้ว ขอให้พ่อแม่ตั้งทุนขึ้นเพื่อสร้างเสริมองค์ำพระธาตุเก่าแก่นี้ก่อนเป็นคนแรก เมื่อบูรณขึ้นแล้วก็ให้พ่อแม่ปลูกต้นโพธิ์อธิษฐานไว้ข้างองค์พระธาตุคนละต้น (ขณะที่ขยายองค์พระธาตุจึงได้ขอตัวตัดออกไป) แต่ส่วนหนึ่งที่แตกจากรากลอดองค์พระธาตุ ดูเหมือนกับมือจะซ้อนองค์พระธาตุข้างที่ทรุดไว้ ปัจจุบันนี้ต้นโพธิ์ส่วนที่แตกออกมานี้ก็ยังอยู่
 
ท่าน เริ่มสอนกรรมฐานตามแบบที่เรียนมาจากหลวงพ่อรุณ วัดช้างเผือกสืบมา แต่ถ้าเป็นคฤหัสถ์จะต้องให้สมาทานศีลห้า ข้อใดข้อหนึ่งตามที่ตนจะรักษาได้ตลอดชีวิตก่อน แล้วท่านจะบอกให้เรียนกรรมฐาน ต่อจากนั้นท่านก็บูรณะวัดบางโทรัด แล้วเปลี่ยนชื่อเป็นวัดบัณฑูรย์สิงห์ในปัจจุบัน โดยสืบต่อจากพ่อแม่ของท่านได้สร้างมา และเปลี่ยนจากเดิมทุกอย่าง จากไม้มาเป็นคอนกรีตทั้งหมด
 
ท่าน ได้สอนธรรมมาโดยตลอด และสถานที่เกตุมดีฯท่านให้เป็นสำนักปฏิบัติธรรมของลูกศิษย์  ที่มุ่งสู่ความสงบโดยแท้จริง  และสามารถมาพักเพื่อปฏิบัติธรรมติดต่อ
 
 
ท่าน ได้สร้างบารมีโดยตลอดมาถึงอายุ ๗๒ ปี เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๖ ท่านได้ถึงแก่กรรมทิ้งขันธ์ละโลกนี้ไป เหลือไว้ให้แต่อาณาเขตบริเวณพระธาตุเกตุมวดีย์ พร้อมทั้งอธิษฐานจิตไว้ ๓ ประการ ณ เกตุมวดีย์มงคลสถานแห่งนี้
 
๑. ผู้ใดเคยเป็นญาติมาแต่อดีต เมื่อเกิดขึ้น ขอจงมาสร้างกุศลบารมีอธิษฐานต่อไป ณ สถานที่นี้
๒ ผู้ใดได้ทำบุญสร้างกุศลมามาก ขอจงมาสร้างบารมีและอธิษฐานต่อไป ณ สถานที่นี้
๓. ผู้ใดได้สร้างบารมีอธิษฐานเป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ขอจงอธิษฐานสร้างบารมีต่อไป ณ สถานที่นี้
 
ผลงาน / ผลงานหรือเกียรติคุณที่ได้รับ
ท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตริตาภรณ์มงกุฎไทย ( ต.ม. ) เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ ๒๕๐
 
ภาษิตธรรม ของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ธรรมบัณฑิต (เจิม คุณาบุตร)

เขาไม่ถาม อย่าตะกราม ตะกละกล่าว ไก่สามหาว มิใช่ยาม ตะกรามขัน
กลัวไว้หน้า กล้าไว้หลัง ระวังทัน คนทุกวัน แปดเหลี่ยม สิบสองคม
คนหน้าเนื้อ ใจเสือ ก็เหลือคบ ข้างนอกกลบ หวานไว้ ข้างในขม
มะนาวเกลี้ยง ก็ไม่ล้น เท่าคนกลม เร็วกว่าลม เหลี่ยมลบ ตลบตะแลง
ฝนจะตก เท่าไร น้ำไม่ขัง ย่อมไหลหลั่ง ลงรู คูระแหง
รสไม่รู้ ดุจจวัก ที่ตักแกง จนปากแหว่ง เปรี้ยวหวาน ไม่พานรู้
ถึงมีหู มีอยู่ ดังหูกะทะ มีตาปะปะ เหมือนสัปปะรด น่าอดสู
ถึงมีปาก ปากพล่อย ดังหอยปู มีเท้าคู้ มือตาย เหมือนไม่มี
กระจกส่อง มองเด่น จะเห็นหน้า ปัญญาส่อง ปัญญา ชี้แจ่มใส
ตัวของตัว ชั่วดี มีเพียงใด ไม่ต้องไป หาหมอดู ก็รู้ดี
จิตไม่ตาย รูปไม่ตาย อย่าหมายผิด รูปกับจิต บอกหมด ปลดนิสัย
รูปทั้งกอง เปรียบเหมือนฟอง ชลาลัย เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป เป็นธรรมดา
ถ้ารู้จิต ก็รู้จบ พบธรรมะ องค์พุทธะ ปรากฏ หมดโมหัน

 

ไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่ไปไม่มา ไม่ตึงไม่หย่อน อยู่ระหว่างทุกข์ระหว่างธาตุ ระหว่างอากาศ ทำจิตให้บริสุทธิ์ เหลือแต่รูปกับนาม ให้ลมเดินไปตามวิธี เกิดช่องว่างปรากฏ ธรรมเครื่อง ว่างปรากฏ แก่สติแลญาณ ย่อมเป็นที่ตั้งอาศัย รับรองให้ตั้งอยู่ในอาการว่าง ไม่คิดไม่นึกไม่เกาะ ขันธ์อายะตะนะเรียกว่าอุปาทานดับ เมื่ออายะตะนะไม่มีสัตว์บุคคลเกาะ ไม่มีเกิด วิมุตติเครื่องแจ้งแห่งกิเลส ที่เหลืออยู่หมด ก็ย่อมรู้ด้วยตัวเอง เพียงเท่านี้ท่านก็จะบังเกิดเต็มแห่งภูมิธรรม วิมุตติเครื่องแจ้ง เวทยิตะนิโรธ เป็นเหตุให้ขันธ์ อดีตอนาคตปัจจุบัน ลำดับตามลักษณะวิปัสสนาญาณ เรียกว่าบุคคลถึงอนุปาทิเสสบุคคล ข้อความที่กล่าวมานี้ เพื่อให้รู้ชัดจะได้ดับความไม ่รู้ชัด ถ้าจะกล่าวโดยการกระทำจริงๆ ก็จะกระทำสั้นนิดเดียว หรือปล่อยสติที่ธาตุทรงว่างเปล่า ตามลม ตั้งแต่ปลายเท้าตลอดศีรษะ และศีรษะตลอดปลายเท้า จนช่องว่างปรากฏทั่วกาย ก่อนให้ สติและญาณว่างปรากฏสติ มีเพียงเท่านี้ตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นทุกประการ

 

ธรรมที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนี้ เป็นวิธีนั่งสมาธิอย่างพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันเป็นต้นไป จัตตุปาเยหิ จัตตริปะมุทโท ทะจาปิถานานิ อภัพโพบ่มิอาจจะเกตุง เพื่อจะกระทำให้แจ้งซึ่งอริยะทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ละกายะทิฏฐิ ไม่ถือเนื้อถือตัว ถือชาติตระกูล ถือเราถือเขา วิจิกิจฉา ความเคลือบแคลงสงสัยไม่มี ในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆเจ้า ไม่มีสีลัพตะปรามาส ไม่บนเบี้ยเสียขวัญ เข้าผีทรงเจ้า เซ่นเหล้าและยาเมี่ยงหมาก บูชาไม่มี ขาดปริเฉทประหารตามกำลังของตนชั่วขณะจิตหนึ่ง ท่านว่าโสโสตะปฏิญาณพระธรรม ละมิจฉามรรคทำภัยและเวรให้สิ้นไปด้วยขันติและเมตตาเข้าถึงซึ่งเป็นโอรสของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า บุคคลนั้นได้เห็นห้องช่องมหานิพพาน สัจจริงจังสัจจะถาวะโร มนุษย์สัตว์ปฏิบัติตามคำสอน จะตัดรอนมลทินสิ้นทุกข์โข เมื่อดับจิตผลบรรพชิตสุเมโธ วิมานคือสถานแห่งบ้านเรือน ครั้นจุติมากำเนิดมนุษย์ จะผ่องผุดโสภาหาไม่เหมือน ด้วยกุศลประจักษ์เป็นหลักเตือน ดุจเป็นเพื่อนมิตรแท้เฝ้าแลดู ท่านทั้งหลายชายหญิงสิ่งประสงค์ อย่าอาวรณ์สงสัยใจหดหู่ ฟังให้ดีถือชัดจัดเป็นครู จะกอบกู้ใจประกอบระบอบธรรม จงหมั่นเชื่อหมั่นจำทำให้เห็น จะเด่นเหมาะสมกายคมสัน รักโอวาทถือโอวาทอย่าคลาดคลำ บุญจะทำสัตว์โลกมีโชคชัย ข้อที่ว่าดีจะได้ดี ภาษิตนี้บอก ตรงไม่สงสัย ถ้าทำชั่วผลชั่วนำตัวไป ลงสู่ในทุกขาน่าเสียดาย อันโลภะโทสะโมหะโหด อย่าโลภอย่าหลงบรรจงหมาย จะทำตัวให้มีราคีคาย ถือให้ได้ยังให้ติดคิดให้ดี อันคีลังทั้งห้า อุตส่าห์เถิด เป็นบ่อเกิดสุขแสนแดนวิถี สุขกับทุกข์บุญบาปทราบกันดี ตัดราคีอย่าลุกุศลทาน มนุษย์เลิศเกิดทรัพย์คนนับหน้า เห็นกับตาในปัจจุบันอันไพศาล เราทำดีสร้างดีมีศีลทาน เกิดผลญาณตามส่งดังหงษ์ทอง จงตริตรึกนึกให้ถูกผูกให้ทราบ บุญกรรมบาปทำชั่วจิตมัวหมอง อยู่ที่ไหนทำที่ไหนควรไตร่ตรอง

 

ผลสนองบุญเสนออย่าเผลอกาย ชักบาลีชี้เตือนเพื่อนมนุษย์ ชักเอาธรรมยุทธเป็นจุดหมาย ระตะนังทั้งสามงามเพริศพราย อย่าทำลายหัตถ์ชูขึ้นบูชา อย่าให้ขาดนึกถึงบาทบพิตรอดิศร ท่านเข้าสู่นิพพานนานมายังถาวร ฝากคำสอนกับพระสงฆ์ทรงศีลา ท่านทั้งหลายชายหญิงสิ่งทั้งหลาย เร่งขวนขวายก่อสร้างทางสิกขา ใครไม่เชื่อเบื่อในรสพจนาถ เกลียดโอวาทความตรัสที่ขัดไถ จะเห็นเหตุเพศชั่วในตัวแท้ หนุ่มสาวเถ้าแก่แน่สักขี สัจจังเวใช่จะแกล้งแต่งวาที คงเกิดมีเข้าสักวันอันทุกข์ภัย จิตไม่ตายรูปไม่ตายอย่าหมายผิด รูปกับจิตบอกหมดปลดนิสัย รูปทั้งกองเปรียบเหมือนฟองชลาลัย เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา ให้รู้จริงเห็นจริงตามเป็นจริง จิตสงบนิ่งเข้าสู่ชลังอุเบกขา รู้จิตรู้จบพบธรรมะ ถึงพุทธะตัดให้หมดโทษมหันต์ ตัณหาจิตคิดลำบากยาก ครามครัน เพราะนับวันยิ่งจะห่างทางนิพพานนะท่านเอย ฯ

 

 



ภาษิตธรรมของท่านพ่อบัณฑูรสิงห์ (เจิม คุณาบุตร)
Top