เจาะตำนาน นครจำปาศรี (พระธาตุนาดูน) - webpra

เจาะตำนาน นครจำปาศรี (พระธาตุนาดูน)

บทความพระเครื่อง เขียนโดย ช่างโอบางรักพัฒนา

บทความ : เจาะตำนาน นครจำปาศรี (พระธาตุนาดูน)
จำนวนชม : 1973
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 25 ม.ค. 2556 - 22:04.52
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

เจาะตำนาน จัมปาศรี           มนุษย์มีความคิด ความเชื่อ ความชอบ และเหตุผลเป็นของตนเอง ไม่มีใครสามารถจะไปบังคับบัญชาให้ทุกคนมีความคิด ความเชื่อ ความชอบ และมีเหตุผลเป็นไปตามตัวเองคิดเห็นและเชื่อถือ ชื่นชอบตามว่าดีงาม ว่าถูกต้อง เป็นจริงได้เสมอไป ใครจะคิดอย่างไร เห็นเป็นอย่างไร ชื่อเป็นอย่างไร จะชอบ จะไม่ชอบอย่างไร ในสิ่งนั้นๆ มันก็สุดแม้จะเป็นไปตามเหตุลของแต่ละบุคคล แต่สำคัญที่ว่า ความคิด ความเชื่อ ความชอบ และเหตุผลของใครจะถูกต้องเป็นจริง ตามความจริงที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริงของสิ่งนั้นๆ           ในโลกใบนี้มีความจริงอยู่มากมายทั้งที่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยประสาทสัมผัสและที่อยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส                    พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ความรู้ที่เกิดกับมนุษย์มีได้ 3 อย่างคือ 1.    ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ จากสถาบันการศึกษา 2.    ความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ที่ผู้คนนั้นๆ ได้พบเห็นและปฏิบัติมา 3.    ความรู้ที่มีอยู่ในตัวตนของทุกคน คือปัญญา ความรู้ขั้นนี้ เกิดจากความรู้ที่มีอยู่แล้ว คือจากการเรียนรู้ จากประสบการณ์ และมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งที่เป็นอจินไตยมี 4 อย่างคือ 1.    วิสัยของพระพุทธเจ้า 2.    ความคิดเรื่องการสร้างโลก 3.    วิสัยของผู้มีฤทธิ์ 4.    กฎแห่งกรรม คำว่า “อจินไตย” แปลว่า “ไม่ควรคิด” คำนี้ก่อให้เกิดปัญหา เพราะหลายท่านตีความไปว่า พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้คิด ซึ่งเท่ากับปิดกั้นไม่ให้ใช้ปัญญา           อันที่จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่ควรคิดนั้น หมายความว่า ไม่ควรคิดด้วยหลักตรรกศาสตร์ เนื่องจากการคิดแบบนี้เป็นการคิดแบบอนุมาน คือการคาดคะเน หรือที่เรียกว่า “การเก็งความจริง” ซึ่งนำไปส่ความผิดพลาดได้ง่าย เพราะใช้ความรู้ที่เกิดจากประสาทสัมผัส คือ ตาเห็น หูได้ยิน ฯลฯ เป็นพื้นฐาน เพราะความจริงบางอย่างในโลกใบนี้ มันอยู่นอกเหนือประสาทสัมผัส คือ อภิญญา จึงจะสามารถพิสูจน์ได้ ข้าพเจ้าไม่ใช่ผู้ได้อภิญญา แต่ก็เชื่อว่าอภิญญาและผู้ได้อภิญญามีจริง           เจาะตำนานนครจัมปาศรีที่นำเสนอ ได้รวบรวม เรียบเรียง ค้นคว้าจากตำราหลายเล่ม รวมทั้งจากคำบอกเล่าของบุคคลต่างๆ ที่มีจิตรเมตตา รวมทั้งพงศาวดาร ตำนานพระธาตุต่างๆ ในดินแดนสุวรรณภูมิ เป็นการบอกกล่าว เล่าเรื่องอีกแบบหนึ่ง           สำหรับท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่ มันเป็นเหตุผลและสิทธิอันชอบธรรมของท่าน ในส่วนของผู้เขียน โดยสุจริตใจ มีเจตนาจะถ่ายทอด บอกกล่าว เล่าไว้ เผื่อว่าเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ จะได้ไม่สูญหาย และถูกลืมเลือนไปกับกาลเวลา ให้ผู้ที่สนใจ และคนรุ่นต่อๆ ไปได้รับรู้ สืบทอดไว้คู่กับผืนแผ่นดินแห่งนี้ตลอดไป           สุวรรณภูมิเป็นพื้นที่อันเป็นแหลมใหญ่ ตั้งอยู่ระห่วางมหาสมุทรอินเดียกับทะเลจีน เป็นดินแดนที่พวกพ่อค้าวาณิชย์ต่างบ้าน ต่างเมืองใฝ่ฝันอยากเข้ามาค้าขาย กอบโกยทรัพยากรธรรมชาติ และทองคำ มีชนเผ่าต่างๆ ตั้งถิ่นฐานอยู่กระจายตามถิ่นต่างๆ ตามความถนัดในการดำรงชีพ และรวมกลุ่มเป็นสังคมเมือง ตามพัฒนาการ อันต่อเนื่องและซับซ้อน มีเผ่าสยาม, ลั๊วะ, ม่าน, พิว, มอญ, ขมุ, ไท, ลาว, จาม, ขอม และลุกผสมข้ามเผ่า ฯลฯ           ขอม คืออินเดียโบราณที่ได้เคลื่อนย้ายเข้ามาตั้งฐานถิ่นและมีอิทธิพลในการปกครอง เพราะอินเดียมีอารยะธรรมสูงกว่าชนเผ่าต่างๆ ที่ตั้งอยู่อย่างกระจัดกระจายในพื้นที่ดั้งเดิม           เหตุผลในการเคลื่อนย้ายมาตั้งถื่นฐานในสุวรรณภูมิมีหลายอย่างเช่น การติดต่อค้าขาย อพยพหลบภัยสงคราม โรคระบาด รวมทั้งเพื่อแสวงหาทำเลทอง การขยายอาณาเขต การเผยแพร่ศาสนา ฯลฯ           ณ สาเกตนคร มีกษัตริย์ปกครองหลายพระองค์จนมาถึงยุคของพระยาสาเกต ครอบครอง “นครดอนจำปา” แห่งนี้ สภาพภูมิประเทศเป็นนครโบราณเก่าแก่ มีแหล่งน้ำเป็นแอ่ง  เป็นกุด ลำห้วย หนอง มีทางน้ำไหลรอบเมือง คล้ายรูปไข่ บ้านเมืองเป็นทั้งที่ลุ่มที่ดอน มีทางเกวียนติดต่อกับเมืองอื่น เป็นเส้นทางโบราณ เรียกว่า ร่องเหมียง, ทางเกวียนสาเกตนคร หรือเมืองจำปาศรี เรียกชื่อตามต้นจำปาที่ขึ้นอยู่อย่างอุดม เขมรเรียก สลัมทน ไทยภาคกลาง เรียก ลั่นทม สลัม แปลว่า รัก ทม แปลว่า ยิ่งใหญ่(ศัพท์เขมร)           พระยาสาเกตมีโอรสองค์หนึ่ง ชื่อสุริยกุมาร สาเกตนครเจริญรุ่งเรืองคาบเกี่ยวร่วมสมัยกับอาษาจักรใหญ่ๆ คือ 1.    อาณาจักรโดตปุระ 2.    อาณาจักรทวารวดี 3.    อาษาจักรอ้ายลาว 4.    อาษาจักรสุธรรมวดี 5.    อาณาจักรฟูนัน 6.    อาณาจักรจีน ยุคจินซีฮ่องเต้ ผู่สร้างกำแพง 5,000 กิโลเมตร 7.    อาณาจักรอินเดีย ยุคพระเจ้าอโศก ดังจะได้กล่าวในบทต่อไป ส่วนแว่นแคว้นที่เกิดร่วมสมัยมี 7 แว่นแคว้นคือ 1.    แคว้นโคตปุระ เดิมอยู่ใต้ปากเซบั้งไฟ ภายหลังย้ายมาอยู่ฝั่งตะวันตก พระธาตุพนม ณ ดงไม้รวก เปลี่ยนชื่อใหม่ว่ามรุกขนคร มีพระยานันทเสนเป็นผู้ปกครอง 2.    แคว้นจุลณี คือดินแดนแคว้นตังเกี๋ย มีพระยาจุลมณีพรหมทัตเป็นผู้ปกครอง 3.    แคว้นหนองหานหลวง คือ บริเวณที่จังหวัดสกลนคร มีพระยาสุวรรณภิงคารเป็นผู้ปกครอง 4.    แคว้นอินทปัฐ คือ ดินแดนเขมรโบราณ มีพระยาอินทปัฐเป็นผู้ปกครอง 5.    แคว้นหนองหานน้อย คือ บริเวณอำเภอกุมภวาปี จังหวัอุดรธานี มีพระยาคำแดงเป็นผู้ปกครอง 6.    แคว้นอโยณชยา มีพระยาถุรนทนครปกครอง คือดินแดนแถวจังหวัดลพบุรีและอยุธยา(ควบครึ่งลูก) 7.    แคว้นสาเกต หรือเมืองร้อยเอ็ดประตู มีประยาสาเกตเป็นผู้ปกครอง คือดินแดนอำเภอนาดูน จังหวัดสารคาม เมื่อสุริยกุมารอายุได้ 13 พรรษา พยะยาสาเกตได้เสด็จไปเยี่ยมพระยากุรนทนคร ซึ่งเป็นสหายกัน พระยาสาเกตและพระยาถุรนทนครได้พบพระฤาษีฐิตะกับปี ซึ่งมีอิทธิฤทธิ์มาก และทรงเวทย์วิทยาคม แถมยังมีสูตรยาวิเศษ ผู้ใดได้กินยานี้ จะสามารถเหาะเหิน เดินอากาศได้ แต่มีข้อ “ขลำ” (ข้อห้าม) ว่าถ้ากินยานี้ ณ ที่ใด ต้องพำนักอยู่ ณ ที่นั้นตลอดชีวิต           พระยาทั้งสองเกิดความเลื่อมใส จึงขอฝากตัวเป็นศิษย์กับพระฤาษีฐิตะกับปี แล้วได้รับการอบรม สั่งสอน สรรพวิชาต่างๆ รวมทั้งได้เสวยยาวิเศษเข้าไปด้วย จึงพำนักอยู่กับพระฤาษีตลอดมา พระฤาษีฐิตะกับปี เปลี่ยนพระนามให้พระยาทั้งสองใหม่ พระยาสาเกต เป็น พระยาศรีอมรณี       พระกุรุนทนคร เป็นพระโยธิกา           ต่อมาอีก 3 ปี สุริยกุมารอายุได้ 16 พรรษา พระยาศรีอมณีจึงมอบราชสมบัติให้สุริยกุมารปกครองนตรสาเกต ทรงตั้งพระนามใหม่ว่า พระยาสุริยวงศาสิทธิเดช           สาเกตนครภายใต้การปกครองของพระยาสุริยวงศาสิทธิเดช มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า เมืองศรีอโยธยา โดยได้รับการเกื้อหนุนจากพระยาโยธิกา กับพระยาศรีอมรณี จึงทำให้พระยาสุริยวงศาสิทธิเดช ทรงมีเดชานุภาพมาก มีเมืองขึ้นถึงร้อยเอ็ดพระนคร พระองค์ได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ด้านการบ้านการเมืองทุกอย่างเจริญรุ่งเรืองควบคู่กันไปด้วยดี           ต่อมาพระยาสุริยวงศาสิทธิเดช ก็ได้อภิเษกสมรสกับพระนางศรีรัตนเทวี จนกระทั่งมีโอรสพระนามว่า สังขวิชกุมาร ครั้นเมื่อเจ้าสังขวิชกุมารอายุได้ขวบเศษ ก็เกิดศึกในขึ้น โดยพระยาอัฑฒะกับพระยาบุพพกุรุนทนารายณ์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์เป็นเชื้อพระวงศ์ มีอำนาจปกครองไพร่พล บริวาร คนละ 5,000 ครัว ทั้ง 2 พระยา ซ่องสุมกำลังพล วางกลศึกและแผนการร้าย หวังปล้นบัลลังก์ของพระยาสุริยวงศาสิทธิเดช เหตุกาณ์ร้ายและแผนการกบฏเริ่มดำเนินการไปตามลำดับขั้น           ฝ่ายพระฤาษีฐิตะกับปีเห็นชะตาบ้านเมืองถึงคราวยุคเข็ญ จึงพาพระยาโยธิกากับพระยาอมรณีไปบวชเป็นฤาษีอยู่ที่เขาพระยาผ่อ เมื่อแผนการกบฏดำเนินการมาถึงจุดสำเร็จ บวกกับเป็นชะตาของบ้านเมือง จึงเป็นเหตุสุดวิสัยที่จะหาผู้ใดต้านทานได้ “ตถตา” มันย่อมเป็นเช่นนั้น พระยาอัฑฒะกับพระยาบุพพกุรุนทนารายณ์ก็สามารถทำการยึดอำนาจ ปล้นราชบัลลังก์ได้สำเร็จ เกิดการเข่นฆ่าสูญเสียชีวิต ทรัพย์สินของทั้ง 2 ฝ่าย จนยากที่จะบรรยายรายละเอียดได้           ประชาชนชาวร้อยเอ็ดประตูแตกตื่นหนีออกจากเมืองโกลาหลอลหม่าน แตกฉานซ่านเซนหลบไปคนละทิศคนละทาง จนได้เป็นตำนาน “แตกบ้าน แตกเมือง” เล่าสู่กันเรื่อยมาในหมู่ชาวอีสาน ให้ลูกหลานรับฟังเป็นอุทาหรณ์สอนใจว่า “เมืองบ้านเราแตก เพราะแบ่งแยกประชาชน เจ้านายทั้งหลายแตกกันเป็นหลายพวก ไม่สมัครสมานสามัคคีกัน”           พระยาสุริยวงศาสิทธิเดชและพระนางศรีรัตนเทวี สิ้นพระชนม์ในเหตุการณ์กบฏบ้านเมืองเกิดระส่ำระสาย หัวเมืองน้อยใหญ่ที่เคยเป็นเมืองขึ้นเกิดกระด้างกระเดื่องแข็งเมือง แยกตัวเป็นอิสระและเปลี่ยนขั้ว ตั้งเป็นก๊กเป็นเหล่า ต่างก็หวังเป็นใหญ่ คอยจังหวะแย่งชิงอำนาจกวาดผลประโยชน์ ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นส่งเครื่องบรรณาการและให้ความร่วมมือต่างๆ           ในที่สุดนครสาเกตก็ถูกกองกำลังเมืองอื่นยกเข้าทำลาย แย่งอำนาจราชบัลลังก์ขย้ำต่อ มันเป็นกรรมของประเทศนี้ สาเกตถูกเปลี่ยนถ่ายผู้ปกครองต่อมาอย่างซับซ้อนด้วยหลายเหตุผลและปัจจัยเรื่อยมา ตามเงื่อนไขแห่งกรรม และวาระแห่งโชคชะตาของเมืองบ้านเรื่อยมาตามกาลเวลา           ฝ่ายเจ้าสังขวิชกุมาร ขณะนั้นอายุได้ขวบเศษ ขุนนางผู้ใหญ่ 2 ท่านที่มีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์คือ หมื่นนันทอารากับหมื่นนามกลางโฮง ได้พาราษฎร 150,000 ครัว อพยพหนีจากเมืองสาเกตหรือเมืองร้อยเอ็ดประตู โดยแบ่งเป็น 2 สายคือ 1.    พวกหนึ่งอพยพยไปทางทิศตะวันออก เข้าพึ่งบรมโพธิสมภารเจ้าเมืองมรุกขนคร 2.    พวกหนึ่งประกอบด้วยพี่เลี้ยง นางนม รวมทั้งเจ้าสังขวิชกุมารกับหมื่นนันทอารามและหมื่นนามกลางโฮงได้อพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผ่านบึงกุย (เขตอำเภอโกสุมพิสัย จังหวัดสารคาม) ผ่านดงมะขามแก่น (ที่ตั้งจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน) ผ่านลำน้ำพอง ไปยังจุดหมายริมฝั่งโขง ตรงที่เป็นจังหวัดหนองคายในปัจจุบัน เมื่อถึ

Top