
พระศรีอริยเมตตรัยพุทธเจ้า
บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch
การเคลื่อนเข้าสู่ยุค พระศรีอริยเมตตรัยพุทธเจ้า ภายหลังจากที่พระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันมีพุทธายุกาลได้ ๕,๐๐๐ ปี พระศาสนาของพระองค์จักอันตรธานสูญสิ้นไป ใน อมตรสธารา อรรถกถาอนาคตวงศ์ ได้อรรถาธิบายว่า -เมื่อพระศาสนาอันให้ความสุขอันเกิดแต่การอยู่ในสวรรค์และสุขอันเกิดจากการพ้นจากวัฏฏทุกข์นี้อันตรธานแล้ว อกุศลจักเกิดมีหนาแน่นขึ้นในโลก คือ อธรรมราคะ (ความกำหนัดที่ผิดธรรม หมายถึง ความกำหนัดในบุคคลที่ไม่สมควรกำหนัด เช่นในมารดา ในบิดา ในครูบาอาจารย์ ในเครือญาติ ในพี่น้องร่วมสายโลหิต ในศิษย์ทั้งหลาย เป็นต้น) วิสมะโลภะ (ความโลภจัด ความโลภที่รุนแรงอย่างยิ่ง) มิจฉาธรรม (ความกำหนัดผิดธรรมชาติ เช่น ชายกำหนัดต่อช่าย หญิงกำหนัดต่อหญิง เป็นต้น) ความไม่เกื้อกูลแก่มารดา ความไม่เกื้อกูลแก่บิดา ความไม่เกื้อกูลแก่สมณะ ความไม่เกื้อกูลแก่พรหมและความไม่ประพฤติอ่อนน้อมแก่ผู้ใหญ่ในตระกูล -ครั้งนั้น เพราะประกอบอกุศลที่หนาแน่นขึ้นโดยลำดับ อายุขัยของมนุษย์ที่มีกำหนด ๑๐๐ ปี จักเสื่อมถอยลงเป็น ๑๐ ปี เด็กชายอายุ ๔ ขวบกับเด็กหญิงอายุ ๕ ขวบจักแต่งงานกัน -ในกาลนั้น โภชนะอันมีรสเลิศจักอันตรธานไป กล่าวคือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย และเกลือ ซึ่งเคยเป็นอาหารอันมีรสเลิศในหมู่มนุษย์จักอันตรธานไป มนุษย์ในสมัยนั้นจะทำอาหารได้เลิศรสที่สุดเพียงแค่เมล็ดพืช ชื่อ กุทรสกะ เท่านั้น (หญ้ากับแก้ที่ใช้สำหรับเลี้ยงโค กระบือ แพะและแกะ) -ในกาลนั้น กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ จักอันตรธานไปโดยประการทั้งปวง อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ จักปรากฏรุ่งเรืองยิ่งขึ้น แม้เพียงการกล่าวคำว่า กุศล ก็จักไม่มีแล้วผู้บำเพ็ญกุศลจักมีมาแต่ไหน จะป่วยกล่าวไปใยถึงความอุบัติแห่งกุศลเล่านัยว่ามารดา อันบุคคลชื่อโน้นประหารแล้วบิดา อันบุคคลชื่อนี้ประหารแล้วสมณะพราหมณ์อันบุคคลชื่อโน้นปลงลงแล้วจากชีวิตแม้ภาวะที่ผู้ใหญ่ในตระกูลมีอยู่ ก็ไม่รู้ มนุษย์ทั้งหลายในเวลานั้นจักบูชาและจักสรรเสริญบุคคลนั้นแหละว่า “น่าชมเชยบุรุษผู้เลิศ” มนุษย์ทั้งหลายจักเป็นผู้ไม่เกื้อกูลมารดา ไม่เกื้อกูลบิดา ไม่เกื้อกูลสมณะ ไม่เกื้อกูลพรหม ไม่ประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล จักเป็นผู้ควรแก่การบูชาและควรสรรเสริญ -ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายจักไม่มี หิริ ความละอาย ไม่มี โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป และไม่มี ธรรมสัญญา ว่าผู้นี้คือมารดา ผู้นี้คือบิดา ผู้นี้คือพี่สาว ผู้นี้คือน้องสาว ผู้นี้คือน้า ผู้นี้คืออา ผู้นี้คือภริยาของอาจารย์ เป็นต้น จักเป็นผู้หมดยางอาย และสมสู่กันและกัน ดุจสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอก -ในกาลนั้นมนุษย์ทั้งหลายจักเข้าไปตั้งความอาฆาตอย่างแรงกล้าต่อกันและกัน คือ ความพยาบาทอย่างแรงกล้า ความประทุษร้ายทางใจอย่างแรงกล้า จิตคิดจะเป็นฆาตกรอย่างแรงกล้า -ครั้งนั้นเพราะสัตว์ทั้งหลายมีความอาฆาตรุนแรงต่อกันและกันจักบังเกิดมี “สัตถันตรกัป” อันเป็นกัปที่พินาศในระหว่างเพราะศาสตราวุธ -สัตถันตรกัปจักมีตลอด ๑ สัปดาห์ มนุษย์ทั้งหลายจักสำคัญในกันและกันว่าเป็นเนื้อ ศาสตราวุธอันคม อันหมายถึงใบหญ้าคม โดยที่สุดแม้วัตถุอันเพียงมือสัมผัสได้เท่านั้น มนุษย์เหล่านั้นจักใช้ฆ่ากันและกัน -มนุษย์เหล่านั้นจักได้ มิคคสัญญี ในกันและกัน ศาสตราวุธใบหญ้าจักมีในมือมนุษย์เหล่านั้น พวกเขาจักใช้ศาสตราวุธใบหญ้าปลงกันและกันเสียจากชีวิตด้วยสำคัญว่านี้เป็นเนื้อ -ในบรรดามนุษย์เหล่านั้น พวกที่ฉลาดอันดับแรกทีเดียว เมื่อได้ฟังข่าวความพินาศนั้น สำคัญว่า โลกวินาศนี้ปรากฏเฉพาะผู้อยู่แห่งเดียวกัน ๒ คน ไม่สามารถจะเป็นอยู่ได้ เก็บอาหารพอยังชีพของตนได้ ๗ วัน จึงเข้าไปกอไม้กออื่น ป่าไม้ป่าอื่น ซอกเขาซอกอื่นแม่น้ำสายอื่น แล้วหลบซ่อนตัว -มนุษย์เหล่านั้นหลบเข้าสู่ทุ่งหญ้า ชัฏป่า หมู่ไม้ หลืบเขา ๑ สัปดาห์ จักเลี้ยงชีวิตด้วยอาหารเกิดแต่รากเหง้าและผลไม้ในป่า สัตว์ทั้งหลายที่เหลือเว้นมนุษย์เหล่านั้น จักประหารกันและกันพินาศไป พื้นปฐพีทั้งสิ้น ก็จักเป็นเนินลานเนื้อราบเรียบเป็นอันเดียวกัน -มนุษย์เหล่านั้น เมื้อพ้น ๗ วันนั้นแล้วจักพากันออกจากทุ่งหญ้า ชัฏป่า หมู่ไม้ หลืบเขา สวมกอดกันและกันปรองดองกันพร่ำสอนกันว่า เราทั้งหลายแลถึงความสิ้นญาติในกาลต่อไปเห็นปานนี้เพราะสมาทานอกุศลธรรมทั้งหลาย ถ้ากระไร พวกเราพึงบำเพ็ญกุศล พึงงดเว้นจากปาณาติบาติ คือ การฆ่าสัตว์ พึงสมาทานประพฤติกุศลธรรมนี้ -มนุษย์เหล่านั้น เพราะเหตุสมาทานกุศลธรรม จักเจริญด้วยอายุบ้าง จักเจริญด้วยวรรณะบ้าง เมื่อมนุษย์เหล่านั้นเจริญด้วยอายุบ้าง มีอายุครบ ๑ ทศวรรษ บุตรของเขา จักมีอายุครบ ๒๐ ปี ครั้งนั้น ลูกหลานของมนุษย์เหล่านั้น จักเริ่มบำเพ็ญธรรมเหล่านั้นโดยลำดับว่าพวกเราพึงงดเว้นจากอทินนาทาน(การถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้)งดเว้นจากกาเมสุมิจฉาจาร (การประพฤติผิดในกาม)งดเว้นจากมุสาวาท (การพูดเท็จ)งดเว้นจากปิสุณาวาจา (การพูดส่อเสียด)งดเว้นจากผรุสวาจา (การพูดเพ้อเจ้อ)งดเว้นจากสัมปัปปลาปะ (การเพ่งเล็งอยากได้)งดเว้นจากอภิชฌา (การเพ่งเล็งอยากได้)งดเว้นจากพยาบาท (การปองร้าย)งดเว้นจากมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) พวกเราพึงสมาทานประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ เหล่านี้แล้วละธรรม ๓ ประการเหล่านี้ คือ อธรรมราคะ วิสมะโลภะ มิจฉาธรรม พวกเราพึงเป็นผู้เกื้อกูลแก่มารดา เกื้อกูลแก่บิดาเกื้อกูลแก่สมณะ เกื้อกูลแก่พรหม และมีความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูล -เมื่อมนุษย์เหล่านั้นประพฤติธรรมให้ดียิ่งอย่างนี้ บุตรของมนุษย์เหล่านั้นซึ่งมีอายุ ๒๐ ปี ก็จักมีอายุ ๒๐๐ ปีโดยลำดับ คือ ๔๐ ปี ๕๐ ปี ในเวลานั้น ชมพูทวีปนี้มีผู้คนมากมายถึงพร้อมด้วยคามนิคม และราชธานี เพียบพร้อมด้วยทิวทัศน์ ป่าเลา ป่าแขม ไก่บินถึงไปตลอดกาลเป็นนิตย์ชนบทก็จักเกษม มีภิกษาหาร (อาหาร) หาได้ง่าย -ในกาลนั้น เมืองพาราณสีนี้ก็จักมีชื่ออย่างนี้เหมือนกัน ลำดับนั้นมนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๒๐๐ ปี พิจารณาเห็นผลของกุศลกรรม จักบำเพ็ยธรรมให้เต็มให้ยิ่งขึ้นไป ครั้งนั้น มนุษย์เจริญด้วยอายุโดยลำดับ ๓๐๐ ปี ๔๐๐ ปี ๕๐๐ ปี แต่นั้น เป็น ๑,๐๐๐ ปี แต่นั้น ๒,๐๐๐ ปี ๓,๐๐๐ ปี ๔,๐๐๐ ปี ๕,๐๐๐ ปีแต่นั้น ๑๐,๐๐๐ ปี ๒๐,๐๐๐ ปี ๓๐,๐๐๐ ปี ๔๐,๐๐๐ ปี ๕๐,๐๐๐ ปี ๖๐,๐๐๐ ปี ๗๐,๐๐๐ ปี ๘๐,๐๐๐ ปี ๙๐,๐๐๐ ปี ในกาลที่มนุษย์มีอายุ ๙๐,๐๐๐ ปี ก็เปลี่ยนชื่อเมืองพาราณสีเป็นเมืองอุปลนคร ยาวประมาณ ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ เท่ากับ ๔ คาวุตหรือ ๔๐๐ เส้น) -ต่อมาเมื่อมนุษย์ทั้งหลายประพฤติธรรมยิ่งกว่า แต่นั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี เวลานั้นเมืองอุปลนครจักมีนามว่า “ปทุมนคร” มีปริมาณ ๗ โยชน์ แต่นั้นเมื่อมนุษย์ทั้งหลายบำเพ็ญธรรมให้ดียิ่งกว่า มนุษย์ทั้งหลายจักมีอายุ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิปี แต่นั้นจักมีอายุ ๑ อสงไขย ในกาลนั้นจึงเปลี่ยนชื่อ ปทุมนครเป็น “มณฑารวนคร” มีปริมาณ ๑๒ โยชน์ -ในเวลานั้นสัตว์ทั้งหลายไม่แก่ ไม่ตาย เมื่อสัตว์ทั้งหลายไม่แก่ ไม่ตาย ย่อมประมาทอีก เหมือนสัตว์ทั้งหลายถึงความประมาทเพราะได้เฉพาะซึ่งสุคติ ด้วยคิดว่า ทุกข์ในนรกจะทำอะไรได้ อกุศลธรรมย่อมปรากฏซ้ำอีก กุศลธรรมเริ่มจะเสื่อมถอยเพราะสัตว์ทั้งหลายเข้าถึงอกุศลธรรมในสันดานเหมือนน้ำอมตะไหลออกได้ ก็เพราะน้ำ คือ ยาพิษร้ายไหลเข้าฉะนั้น -เมื่อธรรมเหล่านั้นเสื่อมถอยลง อายุของสัตว์ก็ลดถอยลงครั้นเมื่อถอยลดลงจาก ๑ อสงไขยปี เป็นอายุ ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิปี ลดถอยลงจากอายุ ๑๐๐,๐๐๐ เป็นอายุ ๑๐๐,๐๐๐ ปี ต่อจากนั้นไปเป็นอายุ ๙๐,๐๐๐ ปี ลดถอยลงจากอายุ ๙๐,๐๐๐ ปี เป็นอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เด็กชายอายุ ๕๐๐ ปี จักแต่งงานกับเด็กหญิงอายุ ๕๐๐ ปี -เวลานั้น สัตว์ทั้งหลายในชมพูทวีปทั้งสิ้น แม้เป็นผู้สูงสุด ก็จักเพียบพร้อมด้วยข้าว น้ำ ของเคี้ยว ของบริโภค วัตถาลังการสิ่งของเครื่องประดับ ของหอม ระเบียบดอกไม้ เครื่องลูบไล้ เป็นต้น โภคะสมบัติจำนวนมาก มีแก้วมุกดา แก้วมณี และรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นอุปกรณ์แห่งความสุข นำปรารถา น่าใคร่ น่าพอใจ อันเป็นทิพย์ ก็ฝน เมื่อยังปฐพีรสให้เจริญในมัชฌิมยาม ย่อมยังฝนให้ตกทุกกึ่งเดือน ทุก ๑๐ วัน ทุก ๕ วัน -ในกาลนั้น เมืองมัณฑารพนคร ยาว ๑๒ โยชน์ กว้าง ๗ โยชน์ เป็นเกตุมดีนคร ถึงพร้อมด้วยสมบัติ มีประการดังกล่าวแล้ว สมจริงดังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันตรัสไว้ว่า“ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี เมืองพาราณสีนี้ จักเป็นราชธานี นามว่า เกตุมดีนคร เป็นเมืองมั่งคั่ว สมบูรณ์มีชนมาก เกลื่อนกล่นไปด้วยมนุษย์ มีภิกษาหาได้ง่าย ภิกษุทั้งหลาย เมื่อมนุษย์ทั้งหลายมีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ในชมพูทวีปนี้จักมีเมือง ๘๔,๐๐๐ เมือง มีราชธานีนามว่า เกตุมดี เป็นประมุข เกตุมดีราชธานี จักมีในเวลาที่มนุษย์มีอายุ ๘๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการฉะนี้” -พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันเมื่อจะทรงแสดงการอุบัติในชมพูทวีปและบุญสมบัติ เป็นต้น ของพระศรีอริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น จึงตรัสว่า“พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นในกาลที่ทรงครองเพศคฤหัสถ์ พระองค์จักทรงปรากฏพระนามว่า “อชิตะ” และในกาลที่ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์จักทรงปราฏกพระนามว่า“เมตไตรย” ทรงเป็นพระผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลาย พระองค์ทรงถึงพร้อมด้วยพุทธลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ อันบริบูรณ์ด้วยอสีตยานุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ทรงมีพระวรรณะงดงามดังวรรณะแห่งทองอันปราศจากธุลี และทรงมีพุทธรัศมีส่องสว่างแผ่ไพศาลไปทั่วทุกทิศ พระองค์ทรงไว้ซึ่งความรุ่งเรืองอย่างยิ่ง ทรงมีพระอิสริยยศอันเลิศ พระองค์ทรงตรัสรู้แล้ว จึงทรงมีพุทธสิริ อันเป็นความงามแห่งพระปัญญาธิคุณและพระบุญญานุภาพ เป็นต้น ทรงมีพระรูปงามอันควรแก่การทัศนา และทรงมีอานุภาพมากอันไม่มีผู้ใดจักเสมอพระองค์ได้ พระองค์จักเสด็จอุบัติในตระกูลแห่งพราหมณ์มหาศาล ผู้มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และมีตระกูลสูง จึงไม่ทรงถูกปฏิเสธโดยการกล่าวถึงชาติตระกูล เพราะจักทรงบังเกิดในตระกูลพราหมณ์” -พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า เมตไตรย ทรงมีพระจักษุ ๕ (มังสจักขุ ทรงมีพระเนตรอันงาม มีอำนาจ เห็นแจ่มใส ไวและเห็นไกล ๑ ทิพพจักขุ ทรงมีพระญาณอันเห็นหมู่สัตว์ผู้เป็นไปต่างๆ กันด้วยอำนาจกรรม ๑ ปัญญาจักขุ ทรงประกอบด้วยพระปัญญาคุณยิ่งใหญ่ เป็นเหตุให้สามารถตรัสรู้อริยสัจธรรม ๑ พุทธจักขุ ทรงประกอบด้วยอินทริยปโรปริยัตตญาณและอาสยานุสยญาณ เป็นเหตุให้ทรงทราบอัธยาศัยและอุปนิสัยแห่งเวไนยสัตว์แล้วทรงสั่งสอนแนะนำให้บรรลุคุณวิเศษต่างๆ ยังพุทธกิจให้บริบูรณ์ ๑ สมันตจักขุ ทรงประกอบด้วยพระสัพพัญญุตญาณ อันหยั่งรู้ธรรมทุกประการ ๑) ทรงมีบุญนับจำนวนไม่ได้ มีพระปัญญาแตกฉาน มีพระอสาธารณะญาณกว้างใหญ่ ญาณเฉพาะพระพุทธเจ้า ๖ ประการ คือ ๑. อินทริยปโรปริยัตตญาณ ญาณหยั่งรู้อินทรีย์อันยิ่งและหย่อนของสัตว์ ๒. อาสยานุสยญาณ ญาณหยั่งรู้อัธยาศัย คือ ความน้อมใจไปทั้งทางดีทางชั่วและอนุสัยคือกิเลสนอนเนื่องในสันดาน มีกามราคะเป็นต้นมีอวิชชาเป็นที่สุด ๓. ยมกปาฏิหาริยญาณ ญาณอันทำให้สามารถแสดงปาฏิหาริย์คู่ได้ คือ ธาตุน้ำธาตุไฟออกพร้อมกัน ๔. มหากรุณาสมาปัตติญาณ ญาณในการเข้าสมาบัติมีมหากรุณาเป็นอารมณ์ ๕. สัพพัญญุตญาณ ญาณคือความเป็นผู้รู้สิ่งทั่วปวง ๖. อนาวรณญาณ ญาณอันไม่มีความขัดข้อง ไม่มีเครื่องกั้นทรงมีพระบริวารยศจำนวนมาก ทรงมีพระกายพละและพระปัญญาพละเข้มแข็ง ทรงมีเรี่ยวแรงทางใจแข็งขัน จักเสด็จอุบัติขึ้น พระเมตไตรยชินเจ้าพระองค์นั้นทรงมีทางดำเนินแห่งพระอนาวรณญาณกว้างไกล ทรงมีพระสติรอบคอบ ทรงมีพระธิติ (ความเพียร) ทรงมีพระสัจจะมาก เพราะทรงแทงตลอดสัจจะทั้ง ๔ (ทุกข์สัจจะ ๑ สมุทัยสัจจะ ๑ นิโรธสัจจะ ๑ มรรคสัจจะ ๑) เป็นต้น พระชินเจ้าเมตไตรยพระองค์นั้น ทรงสัมผัสสังขตธรรม (ธรรมที่ถูกปัจจัยปรุงแต่งขึ้น) ด้วยอนาคตังสญาณ (ญาณหยั่งรู้ส่วนอนาคต) ทรงหยั่งลงสู่สังขตธรรม ด้วยญาณเหล่านั้นเหมือนกัน ทรงลูบคลำธรรมเหล่านั้น ด้วยพระหัตถ์คือพระปัญญาจักเสด็จอุบัติในโลก -เมื่อพระบรมศาสดาพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว พระศาสนาของพระองค์จักดำรงสิ้น ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วอันตรธานไป เมื่อพระศาสนาอันตรธานแล้ว จักปรากฏความมืดเป็นอันเดียวกัน จนทั่วหมื่นโลกธาตุทั้งสิ้น แต่นั้นเมื่อกุศลกรรมบถ ๑๐ เสื่อมไป อกุศลธรรมอันทารุณ กักขฬะ ยังทุกข์วิเสสให้เกิดจักบังเกิดมีในโลก จนถึงมีไฟบรรลัยกัลป์มาเผาผลาญล้างแผ่นดินให้พินาศสิ้นทั้งแสนโกฏิจักรวาล
-เพลิงบรรลัยกัลป์จักบังเกิดขึ้นไหม้แผ่นดินแห่งภัทรกัปนี้จนหมดสิ้น จากนั้นสิ้นกาลนาน จึงจักบังเกิดมีแผ่นดินขึ้นมาใหม่แต่แม้มีมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบังเกิดมีมาสำหรับแผ่นดิน ก็มีมาเสียเปล่าเพราะแผ่นดินที่มีมาในกาลเบื้องหน้านั้นเป็นสุญญกัป ที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้เป็นเวลานานถึง ๑ สุญญอสงไขยกัปสังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เจริญขึ้นแล้วก็สิ้นสุดลง กล่าวคือพระศรีอริยเมตไตรยจักทรงมีพระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี และเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไฟธาตุจะลุกท่วมเผาไหม้พระสรระของพระองค์จนหมดสิ้น ไม่มีอะไรเหลือ หลังจากนั้นพระศาสนาของพระองค์จักดำรงอยู่ได้อีก ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วจะดับมืดสนิทลงในที่สุด พระพุทธศาสนาจะอันตรธานสูญสิ้นไปจากโลกมนุษย์เป็นเวลานานแสนนานอย่างน่าสะพรึงกลัว กัปนี้เป็น “ภัทรกัป” มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นเป็นจำนวนสูงสุดถึง ๕ พระองค์ และเมื่อสิ้นสุดยุคแห่งพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยผู้ทรงตรัสรู้เป็นพระบรมศาสดาพระองค์ที่ ๕ แล้วโลกจักว่างเปล่าจากพระพุทธศาสนาเป็นเวลายาวนาน ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ปรารถนาจะได้พบพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยจึงต้องเร่งรีบขวนขวายบำเพ็ญทาน สมาทานศีลและเจริญภาวนาด้วยความวิริยะอุตสาหะอย่างต่อเนื่องและเต็มกำลังความสามารถอย่าหลงมัวเมาด้วยความประมาทว่า “ยังมีเวลาเหลืออีกมากมายนัก” เพราะในปัจจุบันนี้ การศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องยังอยู่ในวงจำกัดและคับแคบ ยิ่งหากเป็นผู้ที่มิได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ความหวังและความปรารถนาที่จะได้พบพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตรยก็ยังต้องนับว่า “ห่างไกลจากความจริง” มากทีเดียว |