หลวงปู่จันทร์ ธมฺมโชโต วัดสามพร้าว - webpra

หลวงปู่จันทร์ ธมฺมโชโต วัดสามพร้าว

บทความพระเครื่อง เขียนโดย โกพระเครื่อง

โกพระเครื่อง
ผู้เขียน
บทความ : หลวงปู่จันทร์ ธมฺมโชโต วัดสามพร้าว
จำนวนชม : 5474
เขียนเมื่อวันที่ : จ. - 14 ม.ค. 2556 - 23:09.08
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : อ. - 15 ม.ค. 2556 - 17:16.20
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)
ประวัติหลวงปู่จันทร์ ธมฺมโชโต
หลวงปู่จันทร์ ธมฺมโชโต เจ้าอาวาสวัดจันทร์ศรีสุริยวงศ์(วัดสามพร้าว) บ้านสามพร้าว ต.สามพร้าว อ.เมือง จ.อุดรธานี เดิมชื่อจันทร์ และชื่อดิ้น เกิดปีมะโรง วันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2434 ที่บ้านสามพร้าว เป็นบุตรคนที่ 7 ของนายขันตี และนางตุ่ย สีธัมโม มีพี่น้องร่วมกันดังนี้
1.   นางบู่    อินยาศรี
2.   นางจูม    สัตตะพันธ์
3.   นางก่ำ     สีทองอ่อน
4.   นายดี     สีธัมโม
5.   นายมี     สีธัมโม
6.   นางพันธ์     กันหาทอง
7.   หลวงปู่จันทร์    ธมฺมโชโต
ภูมิลำเนาเดิมของบิดามารดา ภูมิลำเนาเดิมของบิดาอยู่ที่บ้านเหมือดแอ่ ต.สะไค อ.เมือง จ.หนองคายได้มาสมรสกับนางตุ่ยที่บ้านสามพร้าว ในราวปี 2413 มารดาเป็นราฏรในหมู่บ้านสามพร้าวโดยมีเชื้อสายมาจาก เมืองเชียงขวาง เชียงดี (ประเทศลาวในปัจจุบัน) ในสมัยสงครามขบฎเจ้าอนุเวียง ในราวปี พ.ศ.2370 คือนางแก้วและนายด้วง ซึ่งเป็นมารดาของนางตุ่ย ทั้งสองพี่น้องนี้ถูกพี่น้องทอดทิ้ง ในเมือบ้านเมืองเกิดสงคราม กำลังเป็นเด็กเล็กๆ พากันวิ่งรองไห้เที่ยวตามหาญาติพี่น้องอยู่ ทหารจึงได้นำตัวมาเลี้ยงไว้ในอาณาเขตประเทศไทย ต่อมาเมื่อมีครอบครัวแล้วจึงได้พากันอพยพมาเลื่อยจนถึงบ้านสามพร้าว และตั้งบ้านเรือนอยู่ในหมู่บ้านสามพร้าวจนมีบุตรหลานมากมายตลอดมาเท่าทุกวันนี้
การศึกษา สมัยนั้นโรงเรียนประชาบาลในหมู่บ้านยังไม่มี นายจันทร์ เมื่อครั้งเยาว์วัยจึงไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนในชั้นประถม แต่ได้ช่วยบิดามารดาทำมาหากินตลอดมาจนอายุได้ 16 ปีบิดามารดาจึงได้มอบตัวให้บรรพชาเป็นสามเณรโดยมีพระอธิการบุญมา เป็นอุปฌายะ สำนักบ้านสามพร้าว จึงได้ศึกษาอักษรสมัยจนเขียนได้อ่านออก ซึ่งในเวลานั้นระบบการศึกษานิยมเรียนอักษรลาวเดิม อักษรขอม อักษรไทยน้อย อักษรไทย ผสมกันอยู่ ปรากฎว่าท่านเป็นผู้แตกฉานในอักษรสมัยดังกล่าวนั้นพอสมควร แต่อยู่ได้เพียงพรรษา ก็ได้ลาสิกขาออกมาช่วยบิดามารดาทำนาอยู่เกือบถึงปี เมืออายุครบ 21 ปีย่าง จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาที่พัทธสีมา บ้านเก่าน้อย โดยมีหลวงพ่อป้องวัดศรีคุณเมือง บ้านเหล่า เป็นอุปฌายะ พระอ่อนตาเป็นเป็นกรรมวาจาจารย์ พระชาลีเป็นอนุสาวนาจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วได้ศึกษาพระธรรมวินัย และมูลกัจจายน์ตามระบบการศึกษาในสมัยนั้น ในสำนักบ้านเก่าน้อย ต.หนองบัว อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้ประมาณ 4 พรรษา จึงได้ย้ายจากที่นั้นมาจำพรรษาที่วัดบ้านสามพร้าวตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
อุปนิสัยใจคอ ท่านหลวงปู่จันทร์ เป็นผู้สันโดษมักน้อย ชอบอยู่เงียบๆในชุมชนหมู่น้อยๆ ไม่ชอบคลุกคลีกับชุมชนหมู่ใหญ่ และไม่เห่อเหิมในเรื่องยศฐาบันดาศักดิ์ใดๆทั้งสิ้น จะเห็นได้เช่นในสมัยหนึ่งทางคณะสงฆ์ได้เสนอตัวของท่าน เพื่อจะให้รับตำแหน่งแห่งพระอุปัชฌายะ ท่านกลับปฏิเสธเสียไม่ยอมรับ และบอกว่า เรามิได้ปรารถนาจะเป็นใหญ่เป็นโตอะไรเลย เราบวชมาเพื่อทำบุญต่างหาก แล้วก็มิได้ตำแหน่งหน้าที่อันใดเลยนอกจากเจ้าอาวาสเท่านั้น ตามปกติแล้วท่านเป็นคนสุภาพอ่อนโยนต่อบุคคลทุกชั้น ไม่ชอบเกี่ยวข้องกับใครๆ ไม่อยากให้ใครได้รับความเดื่อดร้อน จะเห็นได้ชัดตอนเมือใกล้สิ้นชีวิตท่านได้สั่งไว้ว่า การทำศพของเราให้สูพากันทำแต่เพียงเล็กน้อยตามฐานะของกู อย่าทำให้ใหญ่โตนัก อย่าทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน นี่แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นที่ผันผ่อนอ่อนตามจิตใจของบุคคล กลัวผู้อื่นจะได้ความเดือดร้อนเพราะท่านเป็นเหตุจึงได้สั่งไว้อยางนั้น และท่านเป็นคนที่มีนิสัยติดที่อยู่ไม่ชอบเที่ยวไปไหนมาไหนเหมือนบุคคลบางคน หรือเราๆท่านๆที่นิยมกันอยู่ในสมัยนี้ ดังนั้นบุคคลส่วนมากจึงไม่ค่อยรู้จักกัน นอกจากผู้ที่เคยเป็นศิษยานุศาย์ และบ้านใกล้เรือนเคียงซึ่งเคยเคารพนับถือท่านโดยญาติพี่น้องกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษเท่านั้น แต่เมื่อมองในแง่ปฎิปทาของความเป็นพระสงฆ์แล้ว จะเห็นได้ว่าท่านเป็นผู้หนึ่งที่เข้มง่วดกวดขันในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดียิ่ง อย่างเสมอต้นเสมอปลายไม่แสดงอาการขึ้นๆลงๆ ตลอดมาจนกระทั้งอาวสานแห่งชีวิต จึงเป็นที่น่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งแก่บรรดาศิษยานุศิษย์ทั้งหลายที่เคยอาศัยในสำนัก และบรรดาทายกอุบาสกอุบาสิกาที่อยู่ภายใต้การปกครองดูแลของท่าน
   งานพัฒนาบ้านเมือง คำว่า พัฒนา ดูเหมือนจะเป็นคำที่ค่อยคุ้นหูสำหรับคนในสมัยหลังๆ แต่เมื่อดูตามรูปการที่ทำแล้วก็ไม่ค่อยผิดแผกแตกต่างกันเท่าใดนักกับงานที่คนคนในสมัยหลังเคยกระทำมา เพราะเป็นงานที่ทำไปในทำนองเดียวกัน และมีจุดประสงค์เพื่อความอยู่ดีกินดีเหมือนกัน ถ้าจะเรียกว่าเป็นงานชนิดเดียวกันก็เหมือนจะไม่ผิด ดังนั้นงานชนิดนี้ท่านหลวงปู่เองก็เคยกระทำมาเหมือนกัน แต่กระทำในทางจิตใจมากกว่าในทางวัตถุ เพราะเมื่อหลวงปู่เป็นผู้มีปฎิปทาที่เคร่งครัดในพระธรรมวินัยดังกล่าวแล้วนั้น ก็หมายความว่า ท่านได้ทำงานพัฒนาในทางจิตใจอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้จะมีบางคนตำหนิว่า คนหัวโบราณ คนคึ โง่เขลา งมงาย ไม่ทันเหตุการณ์ดังนี้ก็ตาม การที่ท่านอบรมจิตรใจของตนจากชั้นต่ำไปหาชั้นสูง ตามแนวทางของสมเด็จพระบรมครูเช่นนั้น ก็นับว่ากำลังพัฒนากำลังภายในเมิ่กำลังภายในเจริญดีเต็มที่แล้ว ย่อมมีคุณค่ากว่าความเจริญภายนอกหลายร้อยเท่าทีเดียว เพราะผู้ที่จะสร้างความเจริญภายนอกได้จะต้องมีความเจริญภายในเสียก่อนแต่ความถนัดของคนย่อมมีไม่เหมือนกัน บางคนถนัดงานภายใน บางคนถนัดแต่งานภายนอก สำหรับท่านหลวงปู่ดูเหมือนจะถนัดแต่งานภายในจึงได้เคร่งครัดในทางวินัยอยู่ตลอดเวลา ส่วนงานพัฒนาภายนอกก็มีอยู่บ้างเหมือนกัน เช่นการสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ขึ้นภายในหมู่บ้านสามพร้าว เมื่อปี พ.ศ.2495 ได้ย้ายวัดเก่ากลางบ้านที่เห็นว่าไม่เหมาะสม ออกไปตั้งขึ้นใหม่ที่ริมหนองสุริยวงศ์ เรียกว่าวัดจันทร์ศรีสุริยวงศ์ในปัจจุบันนี้เอง ต่อมาได้สร้างศาลาการเปรียญอีกหนึ่งหลัง หลังจากนั้นได้อำนวยการสร้างทำนบน้ำเหมืองฝายขึ้นหลายแห่ง เพื่อความสะดวกในการทำมาหากินของชาวบ้าน นับว่าท่านได้เอาใจใส่ในการพัฒนาบ้านเมืองอยู่ไม่น้อยทีเดียว ในด้านการศึกษา ในสมัยนั้นระดับการฝ่ายนักธรรมยังไม่มี ท่านได้เปิดสอนอักษรลาวเดิม อักษรขอม อักษรไทยน้อย และอักษรไทย โดยอาศัยตำนานชาดกเป็นหลักสูตรให้แก่ศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย ต่อมาในสมัยหลังๆจึงได้ไห้เปิดโรงเรียนแบบนักธรรมขึ้นทำการสอนมาตราบเท่าทุกวันนี้
งานปกครอง เมื่อท่านกลับมาจำพรรษาอยู่ในสำนักวัดสามพร้าวแล้ว ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าอาวาส ต่อจากเจ้าอาวาสองค์ก่อนๆซึ่งเรียงลำดับดังนี้
1.พระอธิการมา      (จากวัดสามปื้ม กรุงเทพฯ)
2.พระอธิการบุญมี   (จากวัดบ้านจุ้ม อ.เมือง จ.อุดรฯ)
3.พระอธิการจันทา
4.พระอธิการจันทร์ ธมฺมโชโต
และมีหน้าที่ปกครองคณะสงฆ์ในเขตของตน อบรมสั่งสอนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาตลอดทั้งญาติโยมด้วย ให้ความเป็นธรรมแก่ศิษยานุศิษย์ทุกทั่วหน้า รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบาแก่ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี ดังนั้นการปกครองในสมัยของท่านจึงไม่ค่อยมีอุปสรรค์อันใด ที่จะเป็นเหตุให้แตกร้าวสามัคคีแก่หมู่คณะขึ้นได้ ทั้งนี้รวมทั้งเหล่าทายกอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายภายในหมู่บ้านด้วย นับว่าท่านได้บริหารคณะสงฆ์ในหมู่บ้านให้ดำเนินไปด้วยความราบรื่นพอสมควร จะเป็นเพราะอำนาจบารมีหรือหลักธรรมประจำใจ ซึ่งท่านนำออกมาใช้โดยที่ผู้น้อยไม่รู้สึกตัว อย่างใดอย่างหนึ่งก็สุดที่จะเดา อนึ่งท่านหลวงปู่เป็นเจ้าตำหรับแห่งวิชาอาคมต่างๆ แทบทุกอย่าง เพราะท่านได้รับมรดกตกทอดมาจากเจ้าอาวาสองค์ก่อนๆ แต่ส่วนมากไม่ค่อยรู้จักกันในเรื่องนี้ เพราะท่านมิได้นำออกมาใช้ ท่านบอกว่าท่านไม่ต้องการหลอกลวงใครๆ ไม่อยากให้ใครต้องถูกหลอกลวง และไม่ค่อยแจกจ่ายอะไรให้ใคร นอกจากผู้ที่จำเป็นเท่านั้น
   อาวสานแห่งชีวิต เมื่อ พ.ศ.2513 ท่านได้เริ่มป่วยเป็นโรคชรา แพทย์ทำการรักษาอยู่หลายเดือนจึงทุเลาลง พอถึงต้นปี พ.ศ.2514 ก็ทรุดหนักลงอีก แพทย์ทำการรักษาเท่าไรอาการก็ไม่ดีขึ้นและหนักลงทุกที จนวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ.2514 เวลา 19.00 น. ก็สิ้ลมปราณ ถึงแก่มรณภาพ ที่วัดจันทร์ศรีสุริยวงศ์ บ้าสามพร้าว ในท่ามกลางศิษยานุศิษย์ รวมอายุทั้งหมดของท่าน 80 ปี พรรษา 60
หลวงปู่จันทร์  ธมฺมโชโต  วัดสามพร้าว
หลวงปู่จันทร์  ธมฺมโชโต  วัดสามพร้าว
Top