อานาปานุสสติกรรมฐาน - webpra

อานาปานุสสติกรรมฐาน

บทความพระเครื่อง เขียนโดย sirapopch

sirapopch
ผู้เขียน
บทความ : อานาปานุสสติกรรมฐาน
จำนวนชม : 829
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 21 ธ.ค. 2555 - 22:26.01
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)
อานาปานุสสติกรรมฐาน<o
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)<o


ในมหาสติปัฎฐานสูตรอันดับแรกที่องค์พระพุทธเจ้าทรงหยิบเอาอานาปานุสตติกรรมฐานขึ้นมาก่อน
ถ้าไม่ดีแล้วก็คงไม่ยกนำมาเป็นอันดับแรกก่อนกรรมฐานกองอื่น
สำหรับอานาปานุสสติกรรมฐาน หมายถึงการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ใช้ทุกอิริยาบถที่ทรงอยู่ 
ให้เอาใจกำหนดจับอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นปกติ จิตไม่มีเวลาว่างจากการกำหนดรู้ลมหายใจเข้าหายใจออก 
ไม่มีอารมณ์เลวเกิดขึ้นไม่มีอกุศลใด ๆ แทรกเข้ามาได้ ขณะใดที่ใจยังตื่นอยู่แม้ตาจะหลับ
ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกเสมอ เวลาหายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า เวลาหายใจออกรู้อยู่ว่าหายใจออก
ในด้านของสติปัฏฐานสี่ แม้เวลาพูดคุยกันจิตใจก็กำหนดลมหายใจเข้าออกไปด้วย 
แม้ใหม่ ๆ อาจจะลืมบ้างแต่ต้องตั้งใจไว้ทรงสติไว้ว่าเราจะหายใจเข้าหายใจออก 
หายใจเข้ายาวหรือสั้นหายใจออกยาวก็รู้อยู่ แม้พระอรหันต์ก็ไม่ทิ้งลมหายใจ
แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า "สารีบุตรดูก่อนสารีบุตรเราเองก็เป็นผู้มาก
ไปด้วยอานาปานุสสติกรรมฐาน" คำว่า "มาก" ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้า
ทรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นปกติทั้งนี้เพราะอานาปานุสสติกรรมฐาน 
เป็นกรรมฐานระงับกายสังขารคือเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดของจิตใจ 
และเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดทางร่างกายมีทุกขเวทนา เป็นต้น
เราทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ก็เหมือนกับคนฉีดมอร์ฟีนเป็นยาระงับ 
ระงับเวทนา อานาปานุสติกรรมฐานจงทำให้มาก จงอย่าละ ถ้าใครแสดงอาการเลว
แสดงว่าคนนั้นทิ้งกำหนดลมหายใจเข้าออก
<o
ถ้าการกำหนดลมหายใจเข้าออกว่างเกินไป ก็ใช้คำภาวนาควบเวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" 
เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้เป็นปกติ 
ทำให้เกิดฌานสมาบัติ ตั้งใจไว้เสมอไม่ว่านั่ง นอน ยืน เดิน อย่างเลวที่สุดระยะต้น
ภายใน ๑ เดือนจะทรงฌาน ๔ การปฏิบัติก็จะเป็นผลโดยไม่ยุ่งกับอำนาจของความรัก 
ความโลภ ความโกรธ ความหลงผู้ทรงฌานจะไม่มองดูความดีและความเลวของคนอื่น 
ไม่ติใครจะมีความกตัญญูรู้คุณต่อผู้มีคุณ
ขอจงกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่กับการภาวนา "พุทโธ" <o
จะใช้กรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ตามจงใช้กรรมฐานกองนั้นให้ถึงอรหัตตผล
ขอเพียงให้มีกำลังใจเข้มแข็ง กำลังใจดูตัวอย่างขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า
"เลือดและเนื้อของเราจะเหือดแห้งก็ตามทีชีวิตอินทรีย์ของเราจะสลายไปก็ตาม 
ถ้าไม่สำเร็จพระสัมโพธิญาณเพียงใดเราจะไม่ยอมลุกจากที่นี้"
<o
ในการปฏิบัติในตอนแรกเราอาจจะรู้สึกว่ายาก คำว่า "ยาก" เพราะว่ากำลังใจของเรายังไม่เข้มแข็ง
เพราะใจของเราหยาบมาก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแนะนำให้ใช้อานาปานุสสติกรรมฐาน 
เพื่อดับอารมณ์ฟุ้งซ่านของจิตต่อไปจะเจริญสมถะกองไหนก็ตาม หรือวิปัสสนากองใดก็ตาม
จะเว้นอานาปานุสสติกรรมฐานไม่ได้ อันดับแรกขอให้ทำอานาปานุสสติกรรมฐานถึงฌาน ๔
ความกลุ้มจะเกิดนิดหน่อยเพราะใหม่ ๆ จะทำให้ใจทรงอยู่ ก็คงจะคิดไปโน่นไปนี่ก็อย่าเพิ่งตกใจ
ว่าเราจะไม่ดี ถ้าบังเอิญเราทำกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบพุทธานุสสติกรรมฐาน 
ไปได้สัก ๑ - ๒นาที จิตนี้เกิดอารมณ์พล่านแล้วต่อมามีความรู้สึกตัว ว่า "โอหนอ 
นี่ใจเราออกไปแล้วหรือ" เราก็ดึงอารมณ์เข้ามาที่อานาปานุสสติกรรมฐานควบคู่กับ
พุทธานุสสติกรรมฐานใหม่ การทำอย่างนี้จงอย่าทำเฉพาะเวลา พยายามใช้เวลาตลอดวัน
ไม่ว่าจะทำอะไรที่ไหน อย่างไรใช้เวลาเป็นปกติ เวลาพูดรู้ลมหายใจเข้าออกได้หรือไม่
เวลาทำงานก็รู้ลมหายใจเข้าออกไปด้วย ลืมบ้างไม่ลืมบ้าง ขอให้มีความตั้งใจของจิต
ควรจะตั้งเวลาทรงฌานไว้ด้วยเพื่อประโยชน์ในขณะที่จิตของท่านเข้าถึงฌาน

ด้วยอำนาจของพุทธานุสสติกรรมฐานหรือด้วยอำนาจของอานาปานุสสติกรรมฐาน <o
เวลาที่พอจะภาวนาได้ หายใจเข้านึกว่า "พุท" หายใจออกนึกว่า "โธ" 
ถ้าพูดไม่ได้ก็ใช้แต่อานาปานุสสติกรรมฐาน งานก็จะไม่เสีย
เพราะอานาปานุสสติกรรมฐานเป็นอารมณ์ที่ละเอียด 
ขณะที่จะคิดงานก็วางอานาฯ ครู่หนึ่งใช้การคิดพิจารณา 
แต่ความจริงคนที่คล่องแล้วเค้าไม่ทิ้งอานาปานุสสติกรรมฐาน
เพราะขณะที่ใช้นั้นใช้ต่ำ ๆ แค่อุปจารสมาธิ ตอนนั้นอารมณ์เป็นทิพย์
เมื่ออารมณ์จิตเป็นทิพย์ปัญญาก็เกิด เมื่อปัญญาเกิด งานที่ทำก็ไม่มีอะไรยาก <o
การตั้งเวลา จะใช้การนับก็ดี หายใจเข้าหายใจออก นับเป็นหนึ่ง ถึงสิบ
และตั้งจิตไว้ว่า ตั้งแต่ 1-10 นี้จะไม่ยอมให้อารมณ์แวบไปสู่อารมณ์อื่น
ถ้าไปสู่อารมณ์อื่นเมื่อใดเราจะตั้งต้นใหม่ทันที และถ้า 1-10 แล้วอารมณ์จิตดี
เราก็ไม่เลิก ตั้งต่อไปอีก 10 เมื่อถึง 10 ยังดีอยู่ เราก็ยังไม่เลิกต่อไปอีก 10 
ในระยะใหม่ ๆ เรายังควบคุมไม่ได้ ก็ใช้กำลังใจของสมเด็จพระบรมครูมาใช้
เราก็จงคิดว่า ถ้า 1-10 นี้ไม่ได้ ก็จะให้มันตายไปซะเลย เมื่อนาน ๆไปไม่ถึงเดือนก็ต้องได้เลยสิบ
<o
จิตทรงอารมณ์อานาปานุสสติกรรมฐานแล้ว อารมณ์อื่นก็ไม่สามารถเข้ามาได้ความหยาบในจิตใจหมดไป 
มีแต่ความละเอียด ก็จะมีความตั้งใจในการปฏิบัติงานพยายามใช้กำลังใจให้อยู่ในขอบเขต 
ทำไม่ได้ถือว่าให้มันตายไปเวลานอนก่อนจะนอนก็จับลมหายใจเข้าออกเป็นปกติแล้วก็หลับไป 
ตื่นใหม่ ๆจะลุกหรือไม่ลุกก็ตาม ใช้อารมณ์ใจให้ถึงที่สุดทุกวัน
<o
อุปสรรคของอานาปานุสสติกรรมฐานมีมาก เรียกว่าเป็นกรรมฐานที่มีความละเอียด
อานาปานุสสติกรรมฐานอาศัยลมเป็นสำคัญ ถ้าวันใดลมหายใจหยาบแสดงว่าวันนั้น
จะปรากฎว่าอาการคุมสมาธิไม่ดี จะมีอาการอึดอัดบางครั้งจะรู้สึกว่าแน่นที่หน้าอก 
หรือว่าหายใจไม่ทั่วท้องถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้น หรือเกรงว่าอาการอย่างนี้จะมีเมื่อเวลาเริ่มต้น
ที่จะกำหนดกรรมฐาน ให้เข้าชักลมหายใจยาว ๆ สัก 3-4 ครั้งคือหายใจเข้า หายใจออกยาว ๆ สัก 3-4 ครั้ง 
เพื่อเป็นการระบายลมหยาบออกไปจากกนั้นก็กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก อย่าบังคับให้หนัก ๆ หรือเบา หรือยาว ๆ สั้น ๆ <o
การเจริญอานาปานุสสติกรรมฐานต้องการสติสัมปชัญญะเป็นใหญ่ อาการของลมหายใจปล่อยไปตามสบาย ๆ 
แค่รู้ไว้เท่านั้น ว่าหายใจยาว หรือสั้น ก็รู้อยู่และอีกแบบหนึ่งคือ กำหนด ฐาน คือ เวลาหายใจเข้า ลมกระทบจมูก 
กระทบหน้าอกศูนย์เหนือสะดือ เวลาหายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอกกระทบจมูกหรือริมฝีปาก 
คนริมฝีปากเชิดจะกระทบริมฝีปาก ริมฝีปากงุ้มจะกระทบจมูกเป็นความรู้สึก จงอย่าบังคับลมหายใจให้แรง 
ปล่อยไปตามปกติความรู้สึกมีเพียงว่ากระทบจมูกอย่างเดียว ถ้ารู้ความสัมผัสจมูกก็แสดงว่าจิตทรงได้แค่อุปจารสมาธิ 
ถ้าสามารถรู้การสัมผัส ฐาน คือหายใจเข้ากระทบจมูกกระทบหน้าอก และหายใจออกรู้กระทบหน้าอก 
กระทบจมูก จุดนี้ แสดงว่าจิตเข้าถึงอุปจารสมาธิ ถ้ารู้ถึง ฐาน หายใจเข้ากระทบจมูก กระทบหน้าอก
กระทบศูนย์เหนือสะดือ และเวลาหายใจออกกระทบศูนย์เหนือสะดือ กระทบหน้าอก กระทบจมูกรู้ได้ชัดเจน 
อย่างนี้แสดงว่าจิตเข้าถึงปฐมฌาน ถ้าอารมณ์จิตละเอียดยิ่งไปกว่านั้นฌานที่ ที่ อย่างนี้ลมหายใจเข้าหายใจออก
จะเหมือนกระแสน้ำไหลเข้าไหลออกทั้งหายใจเข้าและหายใจออก อย่างนี้แสดงว่าจิตเข้าถึงปฐมฌานละเอียด 
หรือว่าฌานที่ ที่ สำหรับปฐมฌานลมยังหยาบอยู่ แต่รู้สึกว่าจะเบากว่าอุปจารสมาธิ พอถึงฌานที่ 
จะรู้สึกว่าลมหายใจเบาลงอีก ไปถึงฌานที่ ลมหายใจที่กระทบรู้สึกว่าจะเบามากเกือบจะไม่มีความรู้สึก 
ถ้าเข้าถึงฌานที่ ก็จะมีความรู้สึกว่าไม่หายใจเลยแต่ความจริงร่างกายหายใจเป็นปกติที่ความรู้สึกน้อยลงไป
ก็เพราะจิตกับประสาทห่างกันออกมาตั้งแต่ปฐมฌานจิตก็ห่างจากประสาทไปนิดหนึ่ง มาถึงฌานที่ 
จิตก็ห่างจากประสาทมากอีกหน่อย พอถึงฌานที่ จิตก็ห่างจากประสาทมากเกือบจะไม่มีความสัมผัสกันเลย 
ถึงฌานที่ จิตปล่อยประสาทไม่รับรู้การกระทบกระทั่งทางประสาททั้งหมด จึงไม่รู้สึกว่าเราหายใจ

Top