ภาคแรก หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา - webpra

ภาคแรก หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา

บทความพระเครื่อง เขียนโดย question

question
ผู้เขียน
บทความ : ภาคแรก หลวงปู่ดุลย์ อตุโล ช่วงอาพาธหนักครั้งที่สอง ในปีพศ.๒๕๒๖ เข้าพักรักษาตัวที่รพ.จุฬา
จำนวนชม : 1494
เขียนเมื่อวันที่ : ศ. - 05 มี.ค. 2553 - 19:34.03
แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ : พ. - 16 มิ.ย. 2553 - 16:03.53
(คลิ๊กที่ชื่อผู้เขียนผู้ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้เขียน)

 

๑๐๕. อาพาธหนักครั้งที่สอง 

           หลังจากที่หลวงปู่เคยเข้ารักษาอาพาธในโรงพยาบาครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.๒๕๐๘ หลังจากนั้นอีก ๑๘ ปี เมื่อท่านเจริญขันธ์มาจนถึง ๙๕ ปี ท่านจึงมีอาการผิดปกติด้านสุขภาพอีกครั้งหนึ่ง 

            เมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม พ.ศ. ๒๕๒๖ หลวงปู่เริ่มมีอาการปวดชาตั้งแต่บั้นเอวลงไปถึงปลายเท้า เริ่มเป็นด้านซ้ายข้างเดียวก่อน ความจริงเคยเป็นเล็กน้อยมานานแล้ว เคยนวดถวายท่านก็สังเกตเห็นได้ว่า ชีพจรเดินเบามาก ต่อมาอาการอย่างนี้ก็ลามมาที่ขาข้างขวา ท่านบอกว่ารู้สึกเหมือนจะปวดหนักปวดเบาอยู่ตลอดเวลา พาไปเข้าห้องน้ำก็ถ่ายไม่ออกทั้งหนักและเบาแถมยังมีอาการเดี๋ยวหยาวเดี๋ยวระคนกัน

            จะให้คนไปตามหมอ ท่านก็ห้ามบอกว่า  "ไม่จำเป็น" ความจริงท่านไม่เคยเรียกหาหมอหรือใช้ให้ใครตามหมอ ตลอดจนไม่เคยบอกให้ใครพาไปโรงพยาบาล เท่าที่เคยมีหมอมารักษาพยาบาล หรือเคยเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลนั้นล้วนเป็นเรื่องของลูกศิษย์ลูกหาเป็นห่วงและขอร้องท่านทั้งสิ้น

            ในคืนนั้น ถ้าไม่สังเกตให้ลึกจะไม่รู้เลยว่าท่านอาพาธอย่างรุนแรง ใบหน้าและผิวพรรณดูเป็นปกติ สงบเย็น ไม่มีความวิตกกังวล เหมือนท่านไม่ได้เป็นอะไรเลย

            ผู้รักษาดูแลท่านอย่างใกล้ชิดมาตลอดจะรู้สึกว่าหลวงปู่มีอาการอ่อนเพลียมากในคืนนั้น และแสดงว่าอ่อนเพลียมากขึ้นทุกที จึงต้องตัดสินใจพาท่านไปเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสุรินทร์เมื่อเวลาประมาณ ๐๔.๐๐ น.

            ตั้งแต่ไปถึง จนถึง ๐๘.๐๐ น. ของเช้ามืดวันที่ ๒๘ มกราคม หมอได้ให้น้ำเกลือและสวนปัสสาวะออก แต่อาการของหลวงปู่ยังไม่ดีขึ้น ถึงกระนั้นท่านก็รบเร้าขอให้พาออกจากโรงพยาบาล ไม่มีใครกล้าทัดทาน จึงต้องนำท่านกลับวัดเมื่อเวลา ๑๕.๔๐ น. วันเดียวกัน

            เมื่อกลับถึงวัดคณะศิษย์ได้ปรึกษาหารือ กันและตกลงจะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกจะไปรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี ตั้งใจจะออกเดินทางเข้าวันที่ ๒๙ มกราคม เวลา ๐๙.๐๐ น.

            ตลอดคืนที่ผ่านมา สังเกตดูอาการป่วยของหลวงปู่หนักขึ้น ทั้งอาการก็หนาวจัดอีกด้วยตอนเช้าถวายอาหารท่าน ท่านก็ฉันได้เพียงเล็กน้อย

            เมื่อใกล้จะถึงเวลาออกเดินทาง ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์กำลังยืนดูแลความเรียบร้อยอยู่นอกกุฎิหลวงปู่ มีพระภิกษุบางท่านเข้ามาคัดค้านแสดงความไม่เห็นด้วยที่จะนำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯโดยเหตุว่า "เท่าที่ท่านแสดงความเห็นมานี้นับว่าเป็นการถูกต้องแล้ว ในฐานะที่เป็นศิษย์ย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะคัดค้านได้ แต่ผมเห็นว่า ถ้าไม่ไปก็มีทางเดียว คือหลวงปู่หมดลงแน่ แต่ถ้าไปยังมีสองทางเพราะฉะนั้นต้องไป"

            และก่อนออกเดินทางนั้นเอง  คุณหมอทวีสิน  ส่งข่าวให้ทราบว่าได้ติดต่อประสานงานที่โรงพยาบาลจุฬาฯให้แล้ว จึงขอเปลี่ยนจากโรงพยาบาลธนบุรีไปเป็นโรงพยาบาลจุฬาฯ แทน

            ตั้งแต่รถพยาบาลเคลื่อนออกจากวัด หลวงปู่นอนสงบนิ่งตลอด จนกระทั่งถึงอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ เวลา ๑๑.๐๐ น. จึงหยุดรถเพื่อถวายเพลหลวงปู่ โดยไปจอดหน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านตื่นเต้นดีใจมาก เพราะหวงปู่เคยมาทำพิธีเปิดร้านให้ เป็นการแวะมาจอดโดยบังเอิญ เขาจัดแจงถวายอาหารเป็นอย่างดี แต่หลวงปู่ฉันข้าวต้มได้เพียงเล็กน้อย

            ระยะทางจากสุรินทร์ถึงกรุเทพฯ รถวิ่งตามปกติใช้เวลา ๖-๗ ชั่วโมงแต่วันนั้นขอไม่ให้วิ่งเร็วเพราะเกรงหลวงปู่จะกระเทือน จึงใช้เวลาถึง ๙ ชั่งโมง ตลอดระยะการเดินทางหลวงปู่นอนสงบเงียบ ไม่มีเหตุอะไรให้น่าวิตกตลอดการเดินทาง

ถึงโรงพยาบาลจุฬาฯ เวลา ๑๗.๔๐ น. ต้องพาหลวงปู่เข้ารักษาที่ตึกฉุกเฉิน เนื่องจากเป็นวันเสาร์และนอกเวลาราชการ ในตอนนี้ลูกศิษย์ลูกหาต่างทุกข์กังวล ที่เห็นอาการของหลวงปู่หนักมาก แถมยังลำบากต้องเดินทางไกลและยังต้องรอเวลาให้หมอตรวจเป็นเวลานานหมอสอบถามข้อมูลหลายอย่างและฉายเอ็กซเรย์ด้วย เสร็จเรียบร้อยแล้วจึงได้พาหลวงปู่เข้าพักที่ห้องพักพิเศษตึกวชิราวุธ ชั้น ๒ หมายเลขห้อง ๒๒

๑๐๖. ความโกลาหล 

            เพราะเหตุที่มาถึงโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ หลวงปู่จึงต้องเข้าตึกคนไข้ฉุกเฉินเสียก่อน ไม่ใช่ห้อง ไอ.ซี.ยู. ตามที่บางท่านเข้าใจ

            หลวงปู่เข้าพักได้ประมาณ ๒ ชั่วโมงกว่า คุณหมอจรัส กับคณะ ก็มาตรวจอาการแล้วบอกว่า ต้องเอาหลวงปู่เข้าห้องเอ็กซเรย์อีก เพราะมีความจำเป็นมาก แม้จะเห็นว่าหลวงปู่อ่อนเพลียมากก็ต้องทำ

            ตอนนั้นเวลา ๕ ทุ่มแล้ว หลวงปู่ท่านนอนสงบนิ่ง จนบางท่านคิดว่าท่านคงจะมรณภาพละทิ้งสังขารไปแล้ว ต้องใส่ท่ออ๊อกซิเจนช่วยหายใจนานนับ ๕ ชั่วโมง การทำงานของหมอจึงแล้วเสร็จ แต่การวินิจฉัยของหมอในคืนนั้นไม่ได้รับผลอะไรเลย

            เมื่อยกหลวงปู่ขึ้นนอนบนแท่นฉายในห้องเอ็กซเรย์แล้ว เจ้าหน้าที่ก็ลงมือฉาย ๒ ชั่วโมงกว่าก็ยังไม่เสร็จ สงสัยว่าเครื่องฉายเสียหรือฟิล์มหมดอายุเพราะปรากฎว่าฟิล์มที่ออกมาแต่ละแผ่นดำสนิทมองไม่เห็นอะไรเลย

            ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์ (พระโพธินันทมุนี) บันทึกไว้ว่า ใช้ฟิล์มเอ็กซเรย์หลายแผ่น หนาเกือบครึ่งคืบ ก็ไม่ได้ผลเลย ทั้งจอภาพก็ไม่ปรากฎภาพให้เห็นได้ตลอด มีเห็นบางไม่เห็นบาง ต้องฉายแล้วฉายอีกตั้งหลายครั้ง หลวงปู่คงต้องอดทนอย่างมาก เห็นท่านนอนหลับตานิ่งไม่ไหวติงเลย

            พยาบาลจะฉีดยา จะให้น้ำเกลือ ก็ทำไม่สะดวก บางครั้งก็แทงเข็มไม่เข้าบ้าง จนหมอบอกว่า ร่างกายของท่านไม่รับ ทางหมอเองก็ท้อใจและแปลกใจ

            คุณหมอสตรีท่านหนึ่งออกมาถามคณะศิษย์ว่า "ทำไมถึงเป็นอย่างนี้" ต่างคนต่างก็ไม่ทราบ และไม่มีใครกล้าตอบ

            เมื่อมาคิดดู โดยลักษณะนี้อาจเป็นว่า หลวงปู่คงจะเข้าสมาธิส่วนลึกและละเอียดเพื่อระงับทุกขเวทนา เพราะเวลา ๑๔ ชั่วโมงที่ผ่านมา ท่านหลับตาอยู่อย่างนั้นโดยไม่ไหวติงเลยตลอดเวลาเข้าห้องฉุกเฉิน ตรวจร่างกาย ฉายเอ็กซเรย์ ตลอดจนเข้าห้องพัก แล้วกลับเข้าห้องเอ็กซเรย์อีก

            ตลอดเวลา ๑๔ ชั่วโมงนั้น ท่านอาจไม่ได้รับรู้การกระทำของพวกเราเลยแม้แต่น้อยก็เป็นได้

            เมื่อได้เห็นภาพหลวงปู่นอนสงบอยู่บนเตียงพยาบาล ได้รับการดูแลรักษาด้วยการแพทย์สมัยใหม่ มีการให้อ๊อกซิเจนช่วยหายใจ ให้น้ำเกลือ และให้อาหารทางสายยางเป็นที่เรียบร้อยพอวางใจได้แล้ว ความวิตกกังวล ความเคร่งเครียดกระวนกระวายที่มีอยู่ในหัวสมองของผู้เขียน (พระครูนันทปัญญาภรณ์) เป็นเวลานาน นับตั้งแต่ออกเดินทางจากจังหวัดสุรินทร์มา ก็ได้บรรเทาเบาบางลงและรู้สึกโล่งใจ เกิดความมั่นใจว่าหลวงปู่จะต้องหายได้ในครั้งนี้อย่างแน่นอน

            ครั้นเวลาตี ๓ ล่วงแล้ว หมอกลับไปหมดแล้ว หลวงปู่จึงลืมตาขึ้นพร้อมกับถามประโยคแรกว่า "หมอตรวจเสร็จแล้วหรือ"

            ได้กราบเรียนท่านว่า "เสร็จแล้วครับ"

            ท่านก็สั่งว่า "ให้กลับเดี๋ยวนี้"

            หมายถึงให้พากลับวัด ต้องค่อยพูดอธิบายให้ท่านทราบว่า ท่านยังกลับไม่ได้ ต้องอยู่พักรักษาที่โรงพยาบาลอีกหลายวัน พร้อมทั้งเลาเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้ท่านทราบโดยตลอด ท่านก็ฟังเฉยโดยไม่ว่าอะไร

            ในวันนั้นคณะศิษย์ได้กราบเรียนท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน) ให้ทรงทราบ ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ จึงเจริญพรไปยังสำนักพระราชวังต่อไป

๑๐๗. เหนือเอ็กซเรย์ 

            ตรงนี้ขอแทรกเรื่องเบาสมองสักเล็กน้อย ข้อเขียนต่อไปนี้เป็นบันทึกของคุณบำรุงศักดิ์ กองสุข ที่น่าสนใจไว้เป็นอุทาหรณ์ ดังนี้

            คุณจำนงค์ พันธุ์พงศ์ เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงเมื่อครั้งถึงหลวงปู่ดูลย์ อตุโล อาพาธหนัก พระครูนันทปัญญาภรณ์ เป็นผู้นำหลวงปู่เข้ากรุงเทพฯ ให้แพทย์ตรวจอาการ ณ โรงพยาบาลจุฬาฯ

            เมื่อนำหลวงปู่เข้าห้องเอ็กซเรย์ พนักงานคนหนึ่งก็พูดกับคุณจำนงค์ว่า

            "อ่อ! คนแก่ๆ แบบนี้ เอ็กซเรย์ง่ายสบายมาก"

            คุณจำนงค์นึกในใจว่า "ประเดี๋ยวก็รู้ เล่นพูดกับหลวงปู่แบบนี้!"

            พอยกหลวงปู่ขึ้นเตียงเลื่อนไฟฟ้า เตียงไม่เลื่อนเข้าที่ เมื่อคุณจำนงค์ก้มกระซิบกราบขออนุญาตหลวงปู่ เตียงก็เลื่อนเข้าที่ได้

            เจ้าหน้าที่ถ่ายเอ็กซเรย์อยู่นานถึง ๒ ชั่วโมง ขณะถ่ายก็ไม่มีภาพปรากฏบนจอทีวี หมดฟิล์มไปเป็นจำนวนมาก พอล้างออกฟิล์มทุกใบดำไปหมด

            คุณหมอมากราบขออนุญาตกับหลวงปู่ คุณจำนงค์ปลุกหลวงปู่พอให้รู้สึกตัว แล้วกราบเรียนท่านว่า "หลวงปู่ครับ อย่าเข้าสมาธิ เขาถ่ายเอ็กซเรย์ไม่ติด"

            หลวงปู่ว่า "อ้อ! อย่างนั้นรึ"

            หลังจากนั้น จึงมีภาพปรากฏบนจอทีวี และฟิล์มเอ็กซเรย์ก็ได้ภาพตามต้องการ 

๑๐๘. ถูกตัวหลวงปู่ได้ไหม 

            รุ่งขึ้นวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๒๖ หลวงปู่มีอาการดีขึ้นพอที่จะประคองให้นั่งบ้าง นอนบ้าง หลวงปู่พูดเสียงชัดเจนดี

            เกิดเหตุขัดข้องทางผู้รักษาพยาบาลนิดหน่อยเพราะล้วนแต่เป็นสุภาพสตรีเมื่อจะทำหน้าที่มักจะถาม ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์ ซึ่งเฝ้าไข้อยู่ ณ ที่นั้นว่า

            "หนูถูกตัวหลวงปู่ได้มั้ยค่ะ"

            ท่านพระครูฯ ตอบ "ไม่ได้ เจริญพร"

            "อ้าว! แล้วจะให้หนูทำอย่างไร"

            "ไม่ทราบ เจริญพร"

            ท่านพระครูฯ บอกว่า อยากจะให้พวกเขาเข้าใจคำพูดของท่านเอาเองเขาก็ไม่เข้าใจ งงอยู่อย่างนั้นเอง ท่านจึงต้องอธิบายว่า

            "คุณเป็นผู้หญิง หลวงปู่และอาตมาเป็นพระสงฆ์ เมื่อคุณถามว่าถูกต้องตัวหลวงปู่ได้ไหม จะให้อาตมาตอบว่าได้ อย่างนี้ไม่สมควร ผิดสมณวินัย ใครมีหน้าที่อย่างไร พึงทำไปตามหน้าที่ของตน"

            พวกเขาเข้าใจ และทำตามหน้าที่ของตนด้วยความระมัดระวัง และอ่อนน้อมน่าชมเชย ต่อมาจึงขอให้มีบุรุษพยาบาลจากตึกสงฆ์มาทำหน้าที่แทนตลอดเวลาที่หลวงปู่อยู่ในโรงพยาบาล ปัญหาขัดข้องต่างๆ จึงหมดไปด้วยดี

๑๐๙. ผลการวินิจฉัยโรค

            เช้าวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๒๖ คณะหมอได้เข้าตรวจร่างกายของหลวงปู่อีกครั้งหนึ่ง คุณหมอยกมือนมัสการขอพร และขออภัย แล้วก็ทำการตรวจเหตุการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากวันก่อน ผลการตรวจทุกอย่างชัดเจนดีจากการถ่ายฟิล์มเอ็กซเรย์มา ๖ แผ่น เมื่อนำมาวินิจฉัย ปรากฏว่าหลวงปู่มีอาการหนักอยู่ ๓ อย่าง คือ เกี่ยวกับกระดูก ปอด และสมอง ซึ่งจะต้องใช้เวลาอยู่รักษาเป็นเดือนขึ้นไป และมีความหวังว่ามีทางรักษาหายได้ จึงปลงใจว่าแม้นานเท่าใดก็จะอยู่

            ปัญหาที่มีในขณะนี้ก็เนื่องจากระเบียบของตึกแห่งนี้คือ ไม่ให้ผู้อยู่เฝ้าพยาบาลนอนในห้องเกิน ๒ คน ท่านพระครูนันทปัญญาภรณ์จึงต้องไปค้างคืนที่วัดบวรนิเวศฯ

            เมื่อเข้ากราบเรียนท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณสังวร เพื่อกราบทูลให้ทราบถึงอาการของหลวงปู่ สมเด็จฯ ท่านแนะนำว่า ถ้ามีอะไรขัดข้องให้ติดต่อ พระมหาวีระ ซึ่งเป็นเลขาฯ และอุปัฏฐากของท่านเจ้าคุณ พระญาณวโรดม รองสมเด็จฯ

            ท่านมหาวีระได้ติดต่อไปที่ คุณหญิงสมรักษ์ เพื่อให้หลวงปู่ได้ย้ายจากตึกวชิราวุธ มาพักที่ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์ ณ ห้องพระราชทาน บนชั้นที่ ๓ ของตึก

            จึงเป็นอันว่าหลวงปู่ได้ย้ายมาอยู่ห้องพระราชทาน ตึกจงกลนี วัฒนวงศ์เมื่อวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖ เวลาบ่ายสองโมงเศษ

            นับว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นอย่างยิ่ง เพราะที่นี่มีความกว้างขวางสะดวกที่จะให้ลูกศิษย์ลูกหาและผู้มีศรัทธาในหลวงปู่ได้เข้าเยี่ยมไข้และเข้ากราบหลวงปู่ เนื่องจากในแต่ละวันมีญาติโยมมาเยี่ยมหลวงปู่เป็นจำนวนมาก ห้องพักเดิมคับแคบ จึงรู้สึกหนักใจ และเกรงใจโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก

๑๑๐. ห้องพระราชทาน

            นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างล้นพ้น ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีพระราชทานสงเคราะห์รับหลวงปู่ไว้ในพระบรมราชูปถัมภ์ และพระราชทานแพทย์หลวงมาทำการรักษาเป็นพิเศษ

            สำหรับห้องพระราชทานนี้ ภายในแบ่งเป็น ๓ ห้อง ด้านซ้ายมือเป็นห้องผู้ป่วย ตอนกลางเป็นห้องโถงใหญ่สำหรับแขกหรือเป็นที่ประชุม ด้านขวามือเป็นห้องจัดเตรียมอาหาร มีเครื่องสุขภัณฑ์พร้อมมูล

            ที่เรียกห้องพระราชทานนั้น ก็เพราะทรงมีไว้เพื่อพระราชทานเพื่อความสะดวกแก่เจ้านายชั้นใหญ่ หรือพระเถระชั้นผู้ใหญ่ หรือ ผู้อื่นใดตามอัธยาศัย

            กำลังปลื้มปีติว่าหลวงปู่ได้อยู่ห้องพระราชทาน ในขณะเดียวกันความกังวลความหนักใจก็เกิดขึ้นมา ทั้งนี้เนื่องจากสำนึกตนว่าเป็นผู้มีสติปัญญาน้อยมีความสามารถน้อย ไม่รู้ธรรมเนียมและระเบียบปฏิบัติของห้องพิเศษเช่นนี้

            อีกประการหนึ่ง ไม่ทราบว่าตนเองจะสามารถรับผิดชอบในการดูแลรักษาพยาบาลหลวงปู่ รวมทั้งต้อนรับบุคคลที่จะมานมัสการเยี่ยมหลวงปู่อย่างมากมายได้หรือไม่ ตลอดถึงอาจต้องรับเสด็จด้วย

            นอกจากนี้ควรจะแนะนำลูกน้องของเราที่จะมาอยู่ช่วยอุปัฏฐากหลวงปู่ให้ประพฤติและวางตัวอย่างไรจึงจะเหมาะสม

            ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ต้องคิด ต้องเตรียมการไว้ จึงได้พยายามศึกษาและสอบถามเจ้าหน้าที่พยาบาลและผู้สันทัดกรณีคนอื่นๆ ตามสมควร

๑๑๑. อาการไข้ของหลวงปู่

            ดังได้กล่าวแล้วว่าอาพาธของหลวงปู่ คือ กระดูกและปอดมีจุดดำ แล้วลามไปถึงสมอง

            การรักษาจึงหนักไปทางบำรุง และพักผ่อนให้มากที่สุด ทั้งยังต้องอาศัยเวลานานอีกด้วย

            ลักษณะอาการของโรคดังกล่าว แสดงออกให้เห็นได้โดยอาการ ๓ อย่าง คือ เบื่ออาหาร อ่อนเพลียเป็นเวลานานๆ ปวดเมื่อยทั่วสรรพางค์กาย นอกจากนี้ก็มีอาการกระสับกระส่าย นอนหลับยาก

            ส่วนตัวของหลวงปู่นั้นท่านอาศัยสมาธิช่วยในการหลับและพักผ่อนสมอง

            ในระยะครึ่งเดือนแรก เกือบจะกล่าวได้ว่า อาการของท่านทรงๆ อยู่ ไม่มีอะไรดีขึ้น

            วันหนึ่ง เวลาเช้ามืด ประมาณ ๐๔.๐๐ น. หลวงปู่ให้พระมาเรียกผู้เขียนเข้าไปพบในห้อง ตกใจ นักว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับหลวงปู่

            เมื่อเข้าไปใกล้แล้ว ท่านปรารภว่า

            "เท่าที่มาอยู่นี่ก็หลายวันแล้ว ไม่เห็ฯมีอะไรดีขึ้นเลย การเจ็บปวดก็ไม่เห็นทุเลา นอนก็หลับยาก หมอก็ไม่เห็นทำอะไรมากนัก มีแต่ให้ฉันมากๆ ให้นอนมากๆ เท่านั้นเอง"

            ผู้เขียนเข้าใจความหมายของท่าน ว่าท่านต้องการจะกลับวัดแน่นอนแต่ที่ท่านพูดอย่างนั้นเป็นการพูดเกรงใจลูกศิษย์ลูกหา รู้สึกสงสารท่านอย่างสุดซึ้ง แต่ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องอยู่เพื่อรักษาไปก่อน จนกว่าหมอจะมีคำวั่งให้กลับได้ จึงไม่มีอะไรดีกว่าการหาคำพูดมาอธิบาย และขอร้องให้ท่านเข้าใจ

            "หลวงปู่ครับ หมอที่นี่เขาเชี่ยวชาญการรักษาเฉพราะโรคแต่ละสาขา เช่น คุณหมอจรัสมาตรวจกระดูก คุณหมออังคณามาตรวจปอดและสมอง เป็นต้นแล้วเขาก็ประชุมกันทุกวัน เพื่อวินิจฉัยหาสมุฏฐานของโรค และหาวิธีการบำบัดอย่างถูกต้องตามหลักวิชา ในการดูแลรักษาหลวงปู่ ขออาราธนามนต์หลวงปู่อยู่ต่อไปอีกสักหน่อยเถิด จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน"

            หลวงปู่ก็นิ่งเฉยไม่ว่าอะไร

            เมื่อเวลาผ่านไป ๒ อาทิตย์กว่า อาการของหลวงปู่ค่อยๆ ดีขึ้น และสามารถปรับตัวให้ชินกับเครื่องปรับอากาศได้ ท่านก็ไม่ว่าอะไรอีก

๑๑๒. ผู้มาเยี่ยมนมัสการหลวงปู่

            สิ่งที่เคยนึกกังวลใจไว้ล่วงหน้าก็ค่อยๆ ปรากฏเป็นจริงขึ้น กล่าวคือ พอข่าวแพร่สะพัดออกไปว่าหลวงปู่อาพาธอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ บรรดาสานุศิษย์และผู้ที่เคารพนับถือก็ได้ทะยอยกันมาเยี่ยมนมัสการมากขึ้นทุกที

            รวมทั้งผู้ที่เคยพบเคยกราบไหว้มาก่อน และผู้ที่เคยได้ยินแต่ชื่อเสียงแต่ไม่เคยเห็นตัวหลวงปู่ ก็ถือโอกาสนี้เป็นสำคัญที่จะได้มากราบมารู้จักท่าน

            ฝ่ายทางโรงพยาบาลก็แนะนำว่าขอให้ห้ามเยี่ยมห้ามรบกวน เพราะต้องการให้หลวงปู่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่

            ผู้เขียนยอมรับว่าไม่มีปัญญาที่จะปฏิบัติตามระเบียบของโรงพยาบาลอย่างเคร่งครัดได้ เพราะบังเอิญเป็นผู้ที่มีธาตุแห่งคนใจอ่อน เกรงใจเขา สงสารเขา เห็นใจเขา

            เขาอุตสาห์ข้ามบ้านข้ามเมืองมาไกล หิ้วข้าวของ ถือเครื่องสักการะมาด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ต้องการที่จะกราบไหว้หลวงปู่ เพื่อเป็นบุญเป็นกุศล นี่ประการหนึ่ง

            อีกประการหนึ่ง เห็นว่า หลวงปู่อาพาธด้วยโรคที่ไม่ใช่ไข้ ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ทุกประการ หากว่าหลวงปู่เป็นที่ตั้งแห่งบุญกุศล อันผู้ที่ได้กราบไหว้จะพึงได้บุญได้กุศล ก็สมควรจะอำนวยความสะดวก

            เพราะคิดอย่างนี้นี่เอง ชนทุกชั้นวรรณะที่ไปเยี่ยมนมัสการหลวงปู่จึงไม่มีผู้ใดผิดหวัง เมื่อไปถึงแล้ว ทุกคนย่อมมีโอกาสได้กราบไหว้หลวงปู่อย่างใกล้ชิดไม่มากก็น้อย ไม่เร็วก็ช้า บ้างก็ได้ถ่ายรูปร่วมกับหลวงปู่อีกด้วย

            ทั้งนี้มิใช่จะบุ่มบ่าม หรือขาดกาละเทศะจนเกินไป ทุกอย่างก็ได้พิจารณาแล้วว่าควรไม่ควรประการใดด้วย

            สมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธองค์ทรงประชวรหนักก่อนจะปรินิพพานท่านพระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ได้ห้ามมาณพผู้หนึ่งซึ่งร้องขอเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในขณะนั้น แม้มานพขอร้องถึง ๓ ครั้ง พระอานนท์ก็ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด จนกระทั่งเสียงขอเสียงขัดดังถึงพระพุทธองค์

            พระองค์จึงตรัสว่า "อานนท์ อย่าห้ามมานณนั้นเลย จงให้เข้ามาเถิด"

            เมื่อได้เข้าเฝ้าและฟังพระธรรม มาณพก็บรรลุมรรคผล ขอบวชเป็นพระสาวกคนสุดท้าย มีนามว่า "สุภัททะ"

            เมื่อนำมาพิจารณาดูจะเห็นได้ว่า พระอานนท์ท่านทำตามหน้าที่ของท่านถูกต้องแล้ว ไม่มีความผิดพลาดอันใด

            ส่วนการที่พระพุทธเจ้าทรงให้มาณพเข้าเฝ้า ก็เป็นพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงมีต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ

            บรรดาพระสาวกรุ่นหลัง ตลอดมาจนถึงพระเถรานุเถระ และครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่มีเมตตาธรรมสูง ย่อมเป็นที่เคารพสักการะของหมู่ชนมากท่านอุทิศชีวิตเพื่อกิจพระศาสนา ไม่เคยคำนึงถึงความชรา ความอาพาธของท่านเมื่อเห็นว่าผู้ใดพึงจะได้ประโยชน์จากการสักการะท่านแล้ว ท่านก็อำนวยประโยชน์นั้นให้แก่เขา

            หลวงปู่ท่านมีเมตตาสูงอยู่แล้ว ไม่เคยบ่นหรือเอือมระอาในเรื่องเหล่านี้ต้อนรับญาติโยมได้โดยไม่เลือกชั้นวรรณะ

            ดังนั้น อาศัยที่ผู้เขียนเคยทำหน้าที่นี้มานาน จึงไม่ค่อยลำบากใจอะไรนักจะมีก็แต่ลำบากกาย เพราะบางวันต้องนั่งรับแขกตั้งแต่ ๖ โมงเช้า ตลอดจนถึง ๔ ทุ่มก็มี

            ต้องต้อนรับแขกแบบประชาสัมพันธ์ ทั้งอธิบายธรรม ทั้งตอบคำถาม เพราะผู้ที่ไปนมัสการหลวงปู่ ส่วนมากเป็นผู้สนใจในธรรมปฏิบัติ บางทีก็ขอร้องให้หลวงอธิบายข้อธรรมะ และแนะนำกัมมัฏฐานให้ก็มี

๑๑๓. ไม่มีก็ลำบาก มีมากก็ยุ่ง

            บรรดาที่ไปเยี่ยมหลวงปู่เป็นจำนวนมากนั้น ไม่มีผู้ใดไปมือเปล่า จ่างนำภัตตาหารและของขบฉันอื่นๆ ไปด้วย ตลอดถึงเครื่องสักการะบูชา เช่า ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นต้น

            โดยเฉพาะอาหารที่ต้องฉันประจำวัน ในเวลาที่จำกัด พอมีมากเกินไปก็เกิดปัญหาเรื่องภาชนะ ทั้งพระที่ฉันก็มีน้อยรูป ทั้งปัญหาในการรักษาความสะอาดก็ติดตามมา ดังนั้น จึงต้องนำของกินของใช้ไปแจกจ่ายทำบุญต่อตามห้องคนไข้อนาถา หลายต่อหลายครั้ง

            ต่อมา เมื่ออาการของหลวงปู่ค่อยหายวันหายคืน ทุกคนก็ค่อยสบายใจในความปลอดภัยของหลวงปู่ในครั้งนี้

            แต่หมอก็ยังไม่อนุญาตให้ออกจากโรงพยาบาล ต้องอยู่รักษาต่อไปอีก

            ผู้คนที่ไปเยี่ยมก็มากขึ้นทุกที บรรดาท่านที่ไปเยี่ยมหลวงปู่นั้น ไม่สามารถคณนาได้ว่ามีท่านผู้ใดบ้าง แต่สำหรับพระเถระผู้ใหญ่นั้น มีดังนี้

            สมเด็จพระญาณสังวร วัดบวรนิเวศวิหาร

            สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดจักรวรรดิราชาธิวาส

            พระธรรมวโรดม วัดปทุมคงคาราม

            พระธรรมบัณฑิต วัดสัมพันธวงศาวาส

            พระหมมุนี วัดนรนาถสุนทริการาม

            พระเทพโสภณ วัดไทยลอสแอนเจลีส สหรัฐอเมริกา

            พระอาจารย์หนู สุจิตฺโต วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่

            พระอาจารย์ยันตระ พระธรรมจาริกทั่วไป

            หลวงปู่สาม อกิญฺจโน วัดป่าไตรวิเวก สุรินทร์

            พระอาจารย์สุวัจ สุวโจ วัดถ้ำศรีแก้ว สกลนคร

            ภิกษุสามเณรและชีวัดสังฆทาน นนทบุรี ไปเยี่ยมเป็นกลุ่มๆ

            นอกจากนี้ มีพระเถระและภิกษุสามเณรอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งมิอาจระบุได้หมดที่ไปนมัสการเยี่ยม แล้วยังไปช่วยผลัดเปลื่ยนรักษาพยาบาลหลวงปู่ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในโรงพยาบาลอีกด้วย โดยเฉพาะแพทย์หญิง หม่อมเจ้าพันธุ์วโรภาส เศวตรุณ ทรงเป็นแขกพิเศษที่เสด็จมาเยี่ยมกราบหลวงปู่ และสนทนาเสมอๆพร้อมกับคณะแพทย์และพยาบาล จุฬาลงกรณ์

 

Top