
หัวข้อ: เรื่องเล่าของชายหนุ่มวัยทองและพุทธานุภาพแห่งพระเครื่อง
กระทู้ และ ความคิดเห็นต่างๆ
อันว่าพุทธศาสนิกชนและพวกนักอนุรักษ์ที่นิยมการสะสมพระเครื่องอย่างพวกเรา ๆ ทั้งหลายนั้นมีความเชื่อสืบต่อกันมาเนิ่นนานแล้ว ว่าพุทธคุณของพระเครื่องที่นิยมเล่นหาสะสมกันนั้นมีอยู่จริง
เริ่มต้นจากคนตั้งกระทู้ Jorawis เองนั้น รู้จักพุทธคุณและชื่อเสียงเรียงนามของพระเครื่องครั้งแรกจากหนังสือจ้า ในหัสนิยายชุดสามเกลอ หรือพล นิกร กิมหงวน ของสุดยอดนักประพันธ์ อย่างท่าน ป. อินทรปาลิตร ที่เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ. 2483 เป็นต้นมา ( ไม่ได้อ่านในการพิมพ์ครั้งแรกนะ เดี๋ยวจะหาว่าJorawis แก่ขนาด !!! มาได้อ่านตอนพิมพ์ครั้งหลัง ๆ โดยมีการพิมพ์ต่อเนื่องอีกหลายครั้ง โดยสำนักพิมพ์ผดุงสาส์นจ้า) อ่านตั้งแต่เด็กจนจำได้ว่า ตัวละครในเรื่องนี้หลายคนมีพระยอดนิยมประจำกาย เช่น เจ้าคุณปัจจนึกฯ มีพระกริ่งปวเรศฯ และพระปิดตาแร่บางไผ่ อาเสี่ยกิมหงวน ไทยเทียม มีพระสมเด็จวัดระฆังฯ พล พัชราภรณ์ มีพระปิดตาท้ายย่าน ที่เช่ามาจากคนรับใช้ประจำตัวจอมแสบอย่างเจ้าแห้ว โหระพากุล ในราคาแพงมาก(ในสมัยนั้น) ถึง 30 ห่อ (มาตรการแลกเปลี่ยนพระในสมัยนั้น เทียบจากมูลค่าของใบชาจากต่างประเทศอย่างดี ที่ห่อด้วยแผ่นดีบุกห่อละ 1 ชั่ง ห่อละ 1 บาท ซึ่งต่อมาแผ่นดีบุกผสมตะกั่วนี้เองที่กลับกลายมาเป็นวัสดุหาได้ง่ายตามวัดทั่วไป ที่พระเกจิอาคมขลังมากมายในยุคก่อนใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างตะกรุด หรือพระเครื่องในยุคแรกที่เริ่มสร้างหรือลองพิมพ์พระที่เรามาเรียกกันว่าพระเนื้อตะกั่วยุคต้นนั่นเอง)
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้Jorawis เริ่มสนใจใฝ่รู้ถึงขนาดยืนแอบอ่านหนังสือพระยอดนิยมในยุคนั้น อันได้แก่ ลานโพธิ์ พระเครื่องปริทรรศน์ หรือแม้กระทั่งหนังสือยอดนิยมปกแข็งเล่มค่อนข้างหนาที่ลงภาพสีสันสดสวยคมชัดที่สุดในยุคนั้น คือ ชาตรีในร้านแพร่พิทยา ที่วังบูรพา หรือ ตามแผงหนังสือเก่าแถวหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นชั่วโมง ๆ หนักเข้าถึงขนาดครึ่งค่อนวัน หรือทั้งวันก็เคย แทนที่จะไปเช่าจักรยานหัดขี่เหมือนเด็กทั่วไปที่นิยมไปสนามหลวงกัน เพื่อหัดขี่จักรยาน วิ่งว่าว หรือ เล่นกีฬากลางแจ้งออกกำลังกายกัน
ผลก็คือ ตัวยิ่งเล็กจิ๋ว ผอมหัวโต ยิ่งได้ดูหนังเรื่องเสาร์5 ที่สร้างและเข้าฉายใน พ.ศ. 2519 ที่พระเอกแต่ละคนมีพระเครื่องประจำตัว ทำให้คงกระพันยิงไม่ออกฟันไมเข้า เท่าที่พอจำได้ก็มี
- เทิด ยอดธง (กรุง ศรีวิไล)มีพระยอดธง(เข้าใจว่าน่าจะหมายถึง พระยอดธง กรุวัดไก่เตี้ย พระยอดฮิตในยุคนั้น)
- กริ่ง คลองตะเคียน (สรพงษ์ ชาตรี) มีพระกริ่งคลองตะเคียน สุดยอดพระคงกระพันแห่งเมืองกรุงเก่า
- เดี่ยว สมเด็จ ( ไพโรจน์ ใจสิงห์ ) มีพระสมเด็จ (น่าจะหมายถึงพระสมเด็จวัดระฆังฯ เนื่องจากในยุคนั้น พระสมเด็จบางขุนพรหม ยังเป็นพระที่นิยมเฉพาะกลุ่มอยู่
- ดอน ท่ากระดาน ( นิรุตติ์ ศิริจรรยา) มีพระท่ากระดาน ที่ยังคงดังอยู่ในยุคนั้น จากข่าวนายตำรวจหนังเหนียว ดวลปืนกับคนร้าย
- ยอด นางพญา (สิงหา สุริยง) มีพระนางพญา พิษณุโลก
ด้วยความเป็นเด็ก จำได้ว่าหลังจากดูหนังเรื่องนี้ Jorawis เริ่มต้นเข้าห้องพระรื้อหาพระที่เห็นในหนังมาห้อย คว้าได้พระนางพญามาองค์นึง นำไปเลี่ยมชูคอด้วยความภูมิใจอยู่นาน จนมารู้ภายหลังว่า เป็นพระแจกกฐิน ผ้าป่า จ้า 5555

ต่อมาโตขึ้นมาอีกหน่อยตอนเรียนชั้นมัธยม(ที่สมัยนั้นเรียกกันว่า ม.ศ – มัธยมศึกษาปีที่ 1-5 ที่โดนยกเลิกและเปลี่ยนเป็น ม.1-6 แทน โดยชั้น ม.ศ.5 รุ่นสุดท้ายจบการศึกษาในปี พ.ศ. 2525) เนื่องจากในละแวกโรงเรียนที่ Jorawis เรียนอยู่นั้น มีแหล่งชุมนุมนักสะสมพระอยู่ 2 แห่ง ที่อยู่ใกล้กัน
จุดแรกได้แก่ ร้านกาแฟ ออน ล็อก หยุ่น ทุกเช้าไปจนสาย ๆ จะมีเซียนพระรุ่นใหญ่(ในสมัยนั้น) มานั่งส่องพระจิบกาแฟกัน ไอ้เรามันเด็กนักเรียน ก็เลยนั่งกินขนมปังปิ้ง กับนมชงชนิดใส่น้ำแดงที่เรียกว่านมเย็น ตามแบบวายร้ายในหนังไทย ตอนนั้นได้แต่นั่ง อ้าปากฟังท่านผู้อาวุโสเหล่านั้นคุยเรื่องพระและประสบการณ์มากมาย แต่ที่มีโอกาสซักถามและท่านได้กรุณาเล่าให้ฟังชนิดตัวต่อ ด้วยความเอ็นดูด้วยเห็นว่าเป็นเด็กน้อย แต่ช่างซักช่างถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก็คือเซียนพระอาวุโสท่านนึง ที่มีนิวาสสถานอยู่แถว เชิงสะพานพุทธ ฝั่งธนบุรี ที่ปัจจุบันถึงแก่กรรมไปแล้ว ท่านได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ของพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีมาแล้วที่ร้านของท่านว่าวันหนึ่งช่วงบ่าย ๆ มีคนอยู่ในร้านหลายคน มีเด็กวัยรุ่นคนนึงถือพระหลวงพ่อโตบางกระทิง เข้ามาปล่อยให้เช่า ขณะที่กำลังรุมส่องพระกันอยู่ เกิดมีคู่อริของเด็กนั้น เดินผ่านมาแล้วจำได้ จึงวิ่งเข้ามาในร้านพร้อมกับชักมีดจ้วงแทงไม่นับ แล้วหนีไป เล่นเอาวงพระที่กำลังส่องพระกันอย่างเพลิดเพลินแตกกระเจิงกันเลยทีเดียว หลังจากเหตุการณ์สงบ วงพรี่แตกกระจายจึงกลับมารวมตัวกัน และมีผู้เข้าไปดูอาการของผู้ถูกแทง ที่นอนแน่นิ่งไป น่าแปลกที่ไม่มีบาดแผลให้เห็น แต่เสื้อกลับขาดกระจุย เรื่องนี้เป็นที่ร่ำลือกันอยู่นานทีเดียวในครั้งนั้น จนทำให้หลายต่อหลายคนยอมรับในพุทธคุณของพระหลวงพ่อโต กรุวัดบางกระทิงว่าสุดยอดคงกระพันสมคำร่ำลือเพียงใด และอยู่ในความทรงจำของJorawis มาจนทุกวันนี้ และพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิงนี้เอง ที่Jorawis เก็บเงินเช่ามาเป็นพระองค์แรกในชีวิตจนกระทั่งได้เจอประสบการณ์จริงกับตัวเองในเวลาต่อมาจ้า


ย้อนกลับมาถึงแหล่งชุมนุมเซียนพระอีกแห่งนึงในละแวกเดียวกัน สถานที่แห่งนี้เรียกกันว่า “มะขามแสควร์” อยู่บริเวณด้านหลังโรงหนังเฉลิมกรุง นับเป็นที่ชุมนุมเจ้ายุทธจักร หลากหลายสาขาทั้งสาขาการแสดง ตั้งแต่ คนเขียนบท ผู้กำกับ(ภาพยนตร์) ผู้อำนวยการสร้าง(นั่งรอนายทุน) ดารา ตัวประกอบ ที่หน้าตาคุ้น ๆ กันในจอภาพยนตร์ ไปจนถึงนักพากย์ และคนฉายหนัง และที่ขาดไม่ได้ก็คือแผงพระ เซียนพระใน มะขามแสควร์ จะเป็นคนละกลุ่มกับที่ร้าน ออน ล็อก หยุ่น ในสายตาเด็กนักเรียนของ Jorawis ในยุคนั้น เซียนพระที่นี่ แต่งตัวแปลกตา บางคนดูสง่าสุขุมนุ่มลึก มาดหรูดูน่าเกรงขาม ราคาเช่าหาของพระ ณ ที่นี้สูงมาก เป็นหลักหมื่นหลักแสนแทบทุกองค์ ก็ได้แค่ดูห่าง ๆ เวลาเค้าเปิดกล่องเปิดราคาเช่าพระกัน แต่ก็มีหลายครั้งที่ได้เห็นเค้าตุ๊งพระหลัก ๆ ชุดเบญจภาคีกัน โห!!!!ตื่นเต้นมาก เปิดราคาที่ 3 องค์ เกือบ 1 ล้านบาท ยืนแอบ ๆเมียง ๆ มองๆ ดูอยู่ห่าง ๆ กลัวจะไปแกะกะเค้า ลุ้นตั้งแต่ต้นจนจบ จนได้รู้ว่าจบในราคา 3 องค์ ราคาเช่า 850 บาทถ้วน พร้อมตลับเสตนเลส อย่างดีทุกองค์!!!!!!5555555
หลังจากนั้นก็ยังแวะเวียนไปอยู่บ่อย ๆ จนมีผู้ใหญ่ใจดีท่านนึง มาชี้ทางสว่างให้ ว่าถ้าสนใจใฝ่รู้ในศาสตร์พระเครื่องนี้จริง ๆ ให้เปลี่ยนแหล่งหาพระชมเถิด ไอ้หนูเอ๋ย อยู่แถวนี้เดี๋ยวจะเข้ารกเข้าพง ชะดีชะร้ายเกิดไปพบอาจารย์ผู้ทรงคุณเข้า จะพากันกระโดดลงเหว ทั้งศิษย์และอาจารย์จะเป็นบาปเป็นกรรมเสียเปล่า ๆ สมัยนั้นผู้คนในสังคมยังตราหน้าพวกวงการพระอยู่ว่าเป็นพวก “ขายพระกิน” ไม่ได้เป็น “นักอนุรักษ์” อันเป็นที่เชิดหน้าชูตาของสังคมแบบในปัจจุบัน
ภาพประกอบศาลาเฉลิมกรุง ในปี พ.ศ.๒๕๒๓ แทบไม่แตกต่างกับสภาพปัจจุบัน
(ภาพ: ศูนย์ข้อมูล เมืองโบราณ / ประเวช ตันตราภิรมย์)


ในยุคนั้นยังมีอีกแหล่งที่มีผู้คนนิยมไปเช่าหาแลกเปลี่ยนพระจนกลายเป็นแหล่งรวมแผงพระขนาดใหญ่ ซึ่งJorawis ค้นพบเข้าโดยบังเอิญจากความตะกละ คือ สนามบริเวณลานโพธิ์ภายในวัดมหาธาตุ เหตุจากการพบนั้นเกิดจากมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มีร้านข้าวแช่ อร่อยมากอยู่ร้านนึง อยู่บริเวณลานโพธิ์ วัดมหาธาตุ ตรงข้ามกับท่าพระจันทร์นี้เอง
เมื่อไปถึงจึงพบว่าในบริเวณเดียวกันนี้มีแผงพระมากมาย ทั้งยังมีเซียนพระอาวุโส รุ่นเก่า ๆ หลายต่อหลายท่าน ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าสนามนี้มากมาย เท่าที่พอจำได้ ว่าเคยได้พูดคุยขอความรู้จากท่านเหล่านี้ ก็มีน้าลิ(ไม่แน่ใจว่าในวงการเรียกลิใหญ่หรือลิเล็ก เพราะมีอยู่ด้วยกันทั้งสองลิในยุคเดียวกัน) อาจารย์เภา ศกุนตะสุต ปรมาจารย์เหรียญผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในยุคนั้น หรือแม้กระทั่ง อาจารย์ปรีชา ดวงวิชัย Jorawis ก็เคยได้ขอความรู้จากท่านเหล่านี้ อีกทั้งหลายท่านได้เมตตาสั่งสอนมารยาทในการขอชมพระ และการจับต้ององค์พระอย่างทนุถนอมให้ถูกวิธีอีกด้วย ซึ่งJorawis ก็นำมาปฎิบัติจนกระทั่งปัจจุบัน
ตอนนั้นนอกจากสนามพระวัดมหาธาตุและบริเวณท้องสนามหลวงในวันมีตลาดนัดเสาร์อาทิตย์แล้ว ยังมีอีกสนามหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลกันนัก เรียกว่าไม่ขึ้นรถให้เสียสตางค์ก็พอเดินถึง ขนาดแค่เหงื่อซึมแผ่นหลัง ได้แก่ย่านบางลำพู ที่มีแผงเล็กแผงน้อยอยู่รวมกับร้านเลี่ยมและซ่อมพระแถวริมถนนสิบสามห้างข้างวัดบวรฯ และที่จัดว่าเป็นแหล่ง “ไฮโซ” ของยุคก็มีในร้านทองริมถนนพระสุเมรุอีกหนึ่ง และติดกับโรงแรมเวียงใต้ในถนนตะนาว ศูนย์นี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์พระเครื่องแห่งแรก ๆ ที่มีร้านตั้งอยู่เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นฐาน ถ้าจำไม่ผิด น่าจะมีร้านของเจ้าพ่อเครื่องราง น้าเชาว์ หนองแขม(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) และคุณระวิ เลิศนานาวงศ์ อยู่ที่นี่ด้วย


อ่านมาถึงตอนนี้ หลายคนคงสงสัยแล้วว่า แล้วสนามท่าพระจันทร์ ไปไหนทำไมไม่เห็นพูดถึง??? ก็ต้องเล่าแจ้งแถลงไขกันว่า ในตอนนั้น สนามท่าพระจันทร์ยังมีสภาพเป็นตลาดสด และเพิ่งจะมาเป็นศูนย์รวมร้านพระเครื่องยอดนิยม ก็เมื่อหลังจากที่ทางวัดมหาธาตุต้องการปรับสภาพภูมิทัศน์ ให้เรียบร้อยสง่างาม ให้เหมาะสมกับเป็นพระอารามหลวงและสมกับที่เป็นสนามสอบบาลีของสมณะรูปจากภูมิภาคต่างๆ งานนี้งานช้างขนาดเป็นเรื่องใหญ่ เป็นรองแค่ข่าวการย้ายตลาดนัดสนามหลวงไปอยู่ชานเมือง(ตอนนั้น)เท่านั้น บรรดาแผงพระซึ่งมีจำนวนร้อยในยุคนั้นไม่ยอมออกไป ร้อนถึงโปลิศ ที่ได้รับแจ้งความจากทางวัด ต้องเข้ามากระชับพื้นที่ และรื้อถอนบรรดาสิ่งปลูกสร้างจนเป็นข่าวเกรียวกราวกันพักนึงในยุคนั้น จนกระทั่งมีการย้ายที่ไปจับจองแผงกันใหม่ในตลาดท่าพระจันทร์ ซึ่งเฟื่องฟูหรูหราขนาดถนนเส้นทางพระทุกสายมุ่งสู่ท่าพระจันทร์ โดยถ้าจำไม่ผิดมีแผงเสี่ยใบแดง เป็นแผงหมายเลข1 และสาวสวย(ในยุคนั้น) อันได้แก่ เจ๊ติ๋ม ที่ยังยืนยงและคงใช้ฉายาเดิมจนปัจจุบัน และ เจ๊น้อย ขายอาหารตามสั่ง และเจ๊แก้วที่ขายข้ามต้ม เป็นดาวประดับสนาม และที่สนามท่าพระจันทร์นี้เอง ใครที่เคยไปเดินยุคนั้นคงจะจำชุดโต๊ะหินอ่อนท้ายสนาม ที่ใช้เป็นที่สำหรับขาใหญ่ และบรรดาเซียนใหญ่( จริงๆ ) ตุ๊งพระหลักมูลค่าสูงกันได้ แต่ก็มีแผงพระบางส่วนที่แยกไปอยู่ในบริเวณ วัดราชนัดดา หรือแยกย้ายกันไปตั้งศูนย์พระเครื่องตามภูมิลำเนาถิ่นที่อยู่ของตน

และในช่วงดังกล่าวนี้เอง บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่ Jorawis เดินเล่นอยู่แถวห้างแก้วฟ้าพลาซ่า ในละแวกบางลำพู กำลังจด ๆจ้อง ๆ จะข้ามถนน พลันก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด ทำให้รถที่ผ่านมาเบรกไม่ทันชนเข้าเต็มแรงจน เสียงดังสนั่น หมอนั่นกระเด็นไปกองอยู่ริมทางแน่นิ่งไป จากที่เห็นคิดว่าตายแล้วแน่นอน ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงวิ่งเข้าไปดูใกล้ ๆ น่าแปลกที่ไม่มีเลือดออกซักหยดทั้ง ๆ ที่เสื้อผ้าขาดเพราะแรงชน จนหายจุกนายคนนั้นจึงลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับยกมือท่วมหัว เห็นในมือมีสร้อยที่ขาดและพระเนื้อผงสีขาวองค์เล็ก ๆ รูปห้าเหลี่ยมที่หักไปครึ่งองค์อยู่ในกรอบ ด้วยความอยากรู้จึงถามพวกไทยมุงที่รุมล้อมกันอยู่ จนได้คำตอบว่า พระองค์ที่หักนั้น คือ “พระหลวงปู่ภู วัดอินทร์ ”
ครั้งนั้นนับเป็นครั้งแรก ที่Jorawis ได้ประจักษ์แจ้งในพุทธานุภาพของพระเครื่อง ชนิด “เต็ม 2 ตา”!!!!


เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อไป ครั้งหลังนี้เกิดขึ้นหลังจากครั้งแรกหลายสิบปีอยู่จำได้ว่าตอนนั้นทำงานแล้ว กำลังเฟื่อง เพิ่งจะมีรถ ทั้งที่เริ่มทำงานได้ไม่กี่ปี ตอนนั้นอยู่ในช่วงบอลโลกฟีเวอร์ ปีอะไรจำไม่ได้รู้แต่ว่า ปีนั้นจัดที่อิตาลี ขณะนั้นถนนสุวินทวงศ์กำลังก่อสร้าง รถวิ่งผ่านออกไปถึงบางปะกงได้แล้วแต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี ตอนนั้นแต่งตัวเนี๊ยบใส่สูทผูกเน็กไท ใส่สแล็คเป็นหนุ่มออฟฟิต เรื่องพระเพลาลงแยะเพราะมีกิเลสอื่นมาบังตามากมายไปหมด ค่านิยมในการคล้องพระหลายองค์หมดไป ในคอจึงมีเพียงสร้อยทองเคเส้นเล็ก ๆ ตามสมัยนิยม และพระแก้วมรกต แบบพระฉีดลอยองค์ทรงเครื่องฤดูร้อน ลงสีเขียวบนผิวพระแบบที่พบเห็นตามร้านพระนับร้อยในท่าพระจันทร์หรือร้านทองทั่วไป ขนาดองค์เล็ก ๆ ตามขนาดของสร้อยพร้อมเลี่ยมจับขอบทองอยู่หนึ่งองค์
อันพระแก้วองค์นี้ Jorawis จำได้ว่าได้รับจากมือของหลวงพ่อขอม แห่งวัดไผ่โรงวัว เมื่อครั้งนั่งเรือไปเที่ยวที่วัดไผ่โรงวัว (ในช่วงนั้นจะไปเที่ยววัดไผ่โรงวัว จะต้องนั่งเรือไปแต่เช้าจาก ท่าช้าง โดยผ่านประตูน้ำ และสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งเช่น แวะดูนกปากห่าง ที่วัดไผ่ล้อม ในจังหวัดปทุมธานี ) โดยก่อนหน้าที่จะไปกราบหลวงพ่อขอมนั้น Jorawis ไม่ได้ห้อยพระ แต่ห้อยจี้ขนาดเล็กรูปบ้องกัญชาขนาดเล็กทำด้วยเงิน ที่มีเพื่อนคนนึงซื้อมาฝาก ไอ้เจ้าจี้บ้องกัญชาเจ้ากรรมดันแลบออกนอกคอเสื้อ ตอนที่ไปก้มลงกราบหลวงพ่อท่านจึงถามด้วยความเมตตาว่า
“เอ็งคล้องพระอะไรหรือลูก ไหนขอหลวงพ่อดูหน่อยซิ???”
เวรกรรมจริง ๆ ตอนนั้นยังเด็ก ๆ ไปเที่ยวกับครอบครัว หันมามองตาผู้ใหญ่แล้วไม่กล้าขัด จึงจำใจถอดสร้อยพร้อมจี้อันนั้น ส่งให้หลวงพ่อท่านไป
“ มันเป็นอะไรหรือลูก ไอ้ที่ห้อยอยู่เนี่ย หน้าตาพิกล?”
เมื่อโดนถามหนัก ๆ เข้า ก็ต้องกราบเรียนท่านไปตามตรง ท่านจึงบอกว่า
“อย่าไปคล้องคอเลยลูก มันเป็นของไม่ดี??”
พอพูดจบเท่านั้นท่านก็ยึดไว้แล้วพูดต่อว่า
“เอาแบบนี้ไปคล้องดีกว่า หลวงพ่อให้ แล้วขอแลกสร้อยเก่าที่ลูกคล้องมาก็แล้วกัน”
ว่าแล้วท่านก็ส่งพระองค์เล็ก ๆ เลี่ยมพลาสติกไว้ มีสร้อยคอ สเตนเลส ขนาดเล็ก ๆ มาให้พร้อมกันเสร็จสรรพ
เสียดายของก็เสียดาย ของรักของหวงซะด้วยไอ้ครั้นจะไม่ยอมแลก ก็เกรงใจผู้ใหญ่ที่ตั้งตนเป็นกองเชียร์อยู่รอบข้างก็เลยต้องยอมแลกไปในที่สุด
และพระองค์นี้เมื่อกลับมาจากวัดจึงนำไปเลี่ยมทองจับขอบไว้ เก็บลืมไปนานหลายปี เมื่อถึงยุคใส่สร้อยทองเส้นเล็ก สั้นติดคอจึงนำมาใส่ด้วยขนาดที่เล็ก และเป็นพระเลี่ยมทองอยู่แล้วจึงเข้าชุดกันพอดี
วันที่จะเกิดเรื่อง Jorawis มีธุระด่วนต้องขับรถกระบะไปตามถนนสุวินทวงศ์ กลางดึก ในช่วงเวลานั้นถนนเส้นที่ว่านี้ตลอดสานมีหลายช่วงหลายตอนที่มีการซ่อมสร้างผิวจราจรต้องขับเปลี่ยนเลนไปมาตลอด ก่อนเข้าช่วงโค้งใหญ่สุดท้ายก่อนเข้าเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา มีฝนตกพรำๆ ทางข้างหน้ามีดสนิท ไม่มีรถ ส่วนด้านหลังมีรถบรรทุกแบบพ่วงขับตามกันมา ทิ้งระยะห่างพอสมควร เนื่องจากผิวทางด้านซ้ายค่อนข้างขรุขระ จึงเปลี่ยนเลนมาขับในช่องทางด้านขวาแทน ช่วงนั้นเองเป็นจังหวะที่รถพ่วงด้านหลังกำลังจะเร่งแซง เมื่อJorawis เปลี่ยนเลนมาทางขวา จึงต้องแซงทางด้านซ้ายแทน แต่ทางข้างหน้ากำลังจะเข้าทางโค้งด้านขวา เมื่อรถพ่วงเร่งแซงแล้วจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเลนมาทางขวาทันที เมื่อรถเปลี่ยนเลนกะทันหันทำให้ช่วงท้ายของรถตัวพ่วงฟาดเข้ากับ ประตูด้านข้างคนขับของรถกระบะที่Jorawis ขับอยู่ เสียงดังสนั่นจนแก้วหูลั่นเปรี๊ยะ แรงปะทะทำให้รถกระบะเสียหลัก พลิกคว่ำหลายสิบตลบไปอยู่ในถนนฝั่งตรงข้าม ที่มีคูร่องน้ำกั้นอยู่ตรงกลาง ประตูด้านคนขับฉีกขาดออกด้วยแรงอัดจากแรงปะทะของประตูฝั่งตรงข้าม ตัวของJorawis ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัยจึงกระเด็นออกจากในรถพร้อมกันกับประตู กระเด็นไปคนละทาง ห่างจากจุดที่รถหยุดเกือบ 70 เมตร เมื่อหายจุกJorawis จึงลุกมาสำรวจบาดแผลตามร่างกายของตัวเอง น่าแปลกที่มีแค่เพียงบาดแผลเหนือหัวคิ้วด้านขวาเป็นรอยเล็กๆ ความยาวไม่ถึง 2 ซ.ม และแผลฉีกขาดไม่ใหญ่นัก จากเศษโลหะมีคมของประตูที่ฉีกขาดออกมาจากแรงปะทะ ที่บริเวณเหนือเข่าด้านซ้าย และที่เหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ !!!! สร้อยทองเคเส้นบางๆ ขนาดน้ำหนักไม่เกิน 3 กรัม และพระแก้วเลี่ยมจับขอบทององค์นั้น ยังอยู่เป็นปกติในคอเหมือนเดิม หลังจากนั้นอีกไม่นานนัก ก็มีรถกู้ภัยของมูลนิธิร่มไทร เจ้าของพื้นที่ก็มาถึงก่อนเพื่อน และมีอีก มูลนิธิตามมาติด ๆ ส่วนไอ้เจ้ารถพ่วงคู่กรณีนั้น ไม่ต้องพูดถึง ห้อตะบึงหนีไปตามระเบียบ ( ไม่รู้ว่าใคร??? เกิดอุบัติเหตุทีไรก็หนีไปตามตาคนนี้ทุกที) เมื่อเห็นสภาพรถที่เหมือนกระดาษโดนขยำจนไม่เหลือสภาพรถในที่เกิดเหตุแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
“คนขับไม่น่ารอด สงสัยต้องเดินตามเก็บชิ้นส่วนกันอีกแล้ว”
ทั้ง ๆ ที่คนขับก็ยืนหมดสภาพอยู่ข้าง ๆ นั่นเอง!!!!
ที่ว่าสภาพรถเละไม่ต่างจากกระดาษที่โดนขยำนั้น ไม่เกินความจริงไปจนโอเวอร์หรอกจ้า เพราะหลังจากนั้น Jorawis ต้องไปเคลียร์เรื่องรถกับบริษัทประกัน ตามกรมธรรม์คุ้มครอง เป็นประกันชั้น1 ซ่อมห้าง บริษัทตีมูลค่าการซ่อมรถที่เละเทะขนาดเครื่องยนต์ทะลักออกมานอกฝากระโปรงถึง 250,000 บาท(ราคาเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว) เลยกัดฟันขายคืนซากรถไปแค่ 75,000 บาท
น่าเสียดายว่าต่อมา อีก 2-3 ปีหลังจากเกิดอุบัติครั้งนั้น พระแก้วเลี่ยมทององค์นั้น ได้หายไปไม่แน่ใจว่าตกหล่นหรือโดนขโมยไป จนบัดนี้ยังหาไม่พบเลยจ้า
ครั้งล่าสุดที่ทำให้ Jorawis ประจักษ์แจ้งถึงพุทธคุณของพระเครื่องนั้น เกิดเมื่อประมาณ7-8 ปีที่ผ่านมานี้เองจ้า จำได้ว่าเป็นช่วงใกล้สิ้นปีเต็มที ตอนนั้นน้องชายคนนึงที่รักกันมาก เกิดอยากจะได้พระหลวงพ่อโตกรุบางกระทิงไว้อาราธนาติดตัวซักองค์ หลังจากที่พยายามหาพระแท้ดูง่าย สภาพพอสวยราคาไม่สูงนักตามใบสั่ง ก็เดินหาไปเรื่อยจนไปพบเข้าองค์นึง เมื่อได้มาแล้วจึงแจ้งให้เจ้าน้องคนนั้นทราบ แล้วก็เลยนัดกันว่าจะไปส่งให้ถึงบ้านที่อยู่ไม่ไกลจากกันมากนัก และเคยไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ทีนี้ไอ้ช่วงเวลานั้นใครๆ ก็วิ่งส่งของเพื่อให้ได้รับทันก่อนวันปีใหม่ ช่วงระยะทางจากบ้านของ Jorawis ไปยังบ้านน้องที่ต้องไปส่งพระ ก็ต้องผ่านบ้านญาติของ Jorawis อีกคนที่คิดไว้ว่าจะไปส่งของขวัญปีใหม่ให้ทัน เมื่อคิดได้ดังนี้ งั้นอย่าให้เสียเที่ยวเลย ออกจากบ้านครั้งเดียวแวะไปส่งของได้ 2 บ้านก็น่าจะดี ว่าแล้วก็รีบกระหืดกระหอบออกจากบ้านเพราะเวลามีจำกัด จนลีมคล้องสร้อยพระที่อาราธนาอยู่เป็นประจำออกไปด้วย คนเราเวลามีเคราะห์มักจะมองข้ามความปลอดภัยหรือประมาทเลินเล่อเสมอ
หลังจากจอดรถที่หน้าบ้านของญาติคนนี้ Jorawis จึงสอดมือเข้าไปล้วงกลอนเพื่อเปิดประตูตามความเคยชิน เนื่องจากบ้านนี้ไม่เคยมีหมา ทั้งๆ ที่เจ้าของรักน้องหมาเป็นชีวิตจิตใจ แต่มีอาชีพการงานที่ต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลาจนไม่อาจมีสัตว์เลี้ยงไว้ในบ้านให้เป็นภาระได้ เมื่อแง้มประตูบ้านขณะที่กำลังจะเปิดประตูก้าวเข้าบ้าน พลันหูก็ได้ยินเสียงคำราม ด้วยสัญชาตญาณJorawis จึงยกแขนขึ้นกั้นระหว่างหน้ากับคอ ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็คือ หมาร็อตไวเลอร์ ตัวดำมะเมี่อมไซส์ยักษ์ พุ่งหัวโตขนาดบาตรพระเพื่อขย้ำคอหอยตามสัญชาติญาณ เคราะห์ยังดีที่ Jorawis ยกแขนกั้นไว้ จึงโดนขย้ำแค่ช่วงท้องแขน ขณะกำลังชุลมุนวุ่นวายกันอยู่นั้น มีเสียงคุ้นหูตะโกนเรียกชื่อน้องหมาตัวขนาดลูกควายอยู่เป็นระยะ ๆ ปล้ำกันอยู่พักใหญ่ น้องลูกควายจึงยอมเปิดปากปล่อยแขน Jorawis ให้เป็นอิสระ ญาติจึงพาไปล้างแผลที่มีแต่คราบน้ำลายเป็นฟองฟ่อดไปหมด น่าแปลกที่เมื่อล้างคราบน้ำลายจึงพบว่าที่ท้องแขนมีแต่รอยเขี้ยวเป็นหลุม แต่หนังไม่ขาดไม่มีเลือดออกซักหยด ซึ่งทั้งเนื้อทั้งตัวของ Jorawis มีเพียงพระหลวงพ่อโต กรุบางกระทิงในกระเป๋าเสื้อที่จะต้องไปส่งให้น้องเพียงองค์เดียวเท่านั้น เมื่อสอบถามญาติถึงที่มาของน้องมาขนาดยักษืที่จู่ ๆ ก็โผล่ขึ้นมาจึงได้ถึงบางอ้อ ว่าเป็นหมาของข้างบ้านที่เจ้าของบ้านและครอบครัวบินไปฉลองปีใหม่กันในต่างประเทศ เลยฝากเลี้ยงไว้ชั่วคราวเพราะเห็นว่าคุ้นเคยกันดี ความซวยต้อนรับปีใหม่ ส่งท้ายปีเก่าจึงตกมาอยู่กับJorawis ผู้มาส่งของขวัญ หลังจากล้างแขน ต่อจากนั้นหลายวันต่อมาจึงพึ่งสังเกตเห็นว่า ท้องแขนช่วงที่โดนขย้ำ เป็นรอยช้ำเป็นปื้น ๆ ใต้ผิวจนกลายเป็นสีม่วงช้ำไปซีกนึง ประมาณ 2-3 เดิอนจึงจางลง ที่น่าตกใจก็คือ หลังจากโดนขย้ำจนแขนเขียวช้ำ ซักอาทิตย์ กว่า ๆ Jorawis ต้องไปโรงพยาบาลเพราะหมอนัด
เมื่อหมอเห็นรอยช้ำจึงจับไปตรวจ และเข้าห้องเพื่อ X-Ray หลังการตรวจเสร็จสิ้นกระบวนการ จึงพบว่าบริเวณท้องแขนกล้ามเนื้อฉีกขาดจากแรงกัดและกระชากโดยไม่มีบาดแผลฉีกขาดเลยแม้แต่น้อย งอมพระรามไปหลายเดือนกว่าจะหาย
สาธุ!!!!! เชื่อสนิทใจแล้วจ้า ว่าพุทธานุภาพแห่งหลวงพ่อโต กรุบางกระทิง ท่านเด่นดังทางคงกระพันสมคำร่ำลือเลยจริงๆ


เชื่อว่าเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายต่อหลายคนได้ประสบพบพานมากันตนเอง แบบเดียวกันกับที่ Jorawis เขียนมาจนยืดยาวและเล่าสู่กันฟังจากความทรงจำล้วนๆ หากมีข้อผิดพลาด ใด ๆ ก็ตาม ขออภัยมาไว้ ณ ที่นี้ด้วยจ้า
ขอเชิญทุกท่านที่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับพุทธคุณของพระเครื่องต่างๆ ลองมาเล่าสู่กันฟัง อย่างน้อยก็เป็นการเผยแพร่ข่าวสารให้คนทั่วไปได้รับรู้ ว่าชาววงการพระฯนั้นไม่ได้มีความเชื่อแบบงมงาย ไร้สาระ แต่เป็นความเชื่อที่มีพื้นฐานของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งยังมีหลักฐานสามารถสืบค้นเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูลได้ เช่นเดียวกับกระบวนการสรรหาและคัดกรองข้อมูลจากแหล่งข้อมูลปฐมภูมิ และทุตติยภูมิ เพื่อบันทึกไว้ ตามหลักวิชาการทางสถิติ ไม่วาจะเป็นตัวบุคคล หรือ บางเรื่องมีการบันทึกไว้ลายลักษณ์อักษร มีลงพาดหัวหนังสือพิมพ์รายวันก็มี ไว้เป็นการเผื่อแผ่ประสบการณ์สำหรับหลายคนที่ยังสงสัยใคร่รู้ หรือเพิ่งจะเริ่มต้นสะสม ให้ทราบว่าพุทธคุณของพระเครื่องที่เป็นที่นิยมเล่นหากันนั้นมีจริง อย่างน้อยก็อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ยอมเสียเวลากันเข้ามาอ่านกระทู้นี้จ้า


โอ...เกิดไม่ทันแต่เหมือนทัน...ขอบคุณนะครับ...แต่ยังอ่านไม่จบครับ...เด๋วมาอ่านต่อ

ว่าแต่อู่ทองฐานสำเภาแพงมั้ยน้อนิ....สวยจัง

สนุกครับเรื่องราวร่วมสมัยโซนพระนครนี่คลาสสิกจริงๆ บ้านเมืองยุคนั้นมีความเปลี่ยนแปลงแต่ไม่ร้อนแรงรวดเร็วและน่ากลัวเหมือนสมัยนี้
ประสบการณ์ของพี่ชัดจริงๆ แนวเฉียดๆเหนึยวๆนี้ชอบฟังคนอื่นเล่าแต่ไม่อยากเจอ เอาแค่ด้านเมตตาก็พอ อุอุ

...แฮะๆๆ อ่านแล้วมันเพลินดีครับ พี่ Jorawis ยังมีอีกที่แถวย่านสี่แยกวิสุทธิกษัตริย์ เป็นร้านขายกาแฟตรงข้ามกับภัตตาคารพูลสิน ติดกับโรงแรมไทยโฮเตลเก่า ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนผู้บริหารใหม่เป็นโรงแรมเดอะม็อค ร้านกาแฟที่ว่านี้ยังคงแบบฉบับเดิมเก่าๆแบบคลาสสิค ช่วงเช้าตั้งแต่เวลา 07.00 ก็เปิดร้าน เซียนเก่ารุ่น อาเจ๊ก, กู๋ ก็จะพกกล่องสะแตนเลส มาพร้อม แต่ยังไม่ไม่มีการซื้อ-ขายกันนะครับ หลังจากนั้งกินกาแฟ+ไข่กระทะร้อนกันแล้ว ช่วงเวลาประมาณ 9-10.00 น. เป็นต้นไปจนถึงเวลาประมาณ เที่ยงกว่านิดหน่อยก็จะตลาดวายแล้วครับ ตรงนั้นผมก็เคยได้บางขุนพรหม09 มาองค์ในราคาสมน้ำสมเนื้อกัน(ไม่ใช่สมน้ำหน้านะครับ) ก็เพียงเห็นว่ายังไม่ได้เขียนถึง เลยอยากแนะนำลองไปเดินดูบ้างครับเผื่อมีอะไรติดมือกลับมาบ้างครับ...
ปล. 2 ปีแล้วผมยังไม่ได้เข้าร้านกาแฟนั้นเลยครับ.
ชอบภาพครับ ภาพเก่า ทันได้เห็นสมัยเด็ก
ขอบคุณเพื่อน ๆ พี่ ๆ หลายท่านที่เข้ามาเยี่ยมชมและทักทายกันจ้า
เริ่มจากคุณไม้ธาตุพนม Jorawis ยืนยันว่าไม่ได้อ่านสามเกลอ ตอนพิมพ์ครั้งแรก แน่นอนจ้า
ได้มาอ่านตอนพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ผดุงศึกษา(ตอนแรกพิมพ์ผิดเป็นผดุงสาส์น) ฉบับปกอ่อน เล่มละ 5 บาท กัดฟันอดขนมซื้ออาทิตย์และเล่มจากแผงหนังสือใหญ่ ใต้โรงหนังเฉลิมสิน ที่สะพานความจ้า อ้อ!!! พระอู่ทองฐานสำเภา ไม่แพงอย่างที่คิดจ้า ลองเข้าทายดูในหน้าประมูลดูซิ ว่าจะจบที่เท่าไหร่ดีเอ่ย??
คุณพรพระฉิมพลี ขอบคุณที่ตามอ่านกันจ้า ว่าแต่ว่า ชอบฟังเค้าเล่าอย่างเดียว มันไม่ตื่นเต้นเร้าใจเหมือนเจอด้วยตัวเองนะจบอกให้้ มันส์ฝ่าเยอะ 55555
คุณdorn80 ขอบคุณมากจ้าที่ช่วยชี้โพรงให้กระรอกชรา ไว้มีโอกาสจะลองให้เค้าทุบดูจ้า ถ้าจำไม่ผิด กลุ่มนี้น่าจะเป็นกลุ่มเพื่อน ๆ ของคุณ เจี๊ยบ ส.โภชนาจ้า
ขอบคุณ ท่านวังเทวี ที่เข้ามาเยี่ยมและทักทายกันอยู่บ่อยๆ
ว่าแต่ว่า อยากฟังประสบการณ์เรื่องพุทธคุณของพระเครื่อง ที่แแต่ละท่านเคยประสพมาด้วยจ้า ลองดูนะ จะรออ่านจ้าาาาาา


อ่านที่ท่าน jorawis เขียนแล้ว ก็น่าที่จะเป็นคนร่วมสมัยเดียวกับผม แต่ใครจะหนุ่มกว่า หรือหล่อกว่า อันนี้ไม่รู้ซี พอจะจำได้คลับคล้าย คลับคลาว่า ผมจบ ม.ศ.ต้น จาก โรงเรียนชื่อเสียงเก่าแก่ ย่านท่าดินแดง แล้วเข้าไปเรียนอาชีวะ เมื่อปีที่ คุณอาภัสรา ได้เป็น น.ส.ไทย และต่อมาได้เป็น miss universe ในปีถัดไป ยังจำเสียง โฆษกฝรั่งมันประกาศตอนที่ คุณอาภัสราได้มงกุฏเลยว่า "มิส ไทยแลนด์ อาพัส ซารา ฮอง ซากูลา " มาจนถึงทุกวันนี้เลย
ปกติตอนเป็นนักเรียน ม.ต้น ก็เริ่มป้วนเปี้ยนอยู่กับพวกแผงพระเครื่องแล้ว ส่วนใหญ่จะไปอยู่แถวๆโคนมะขามแถวหน้าศาลอาญาบ้าง แถบคลองหลอดบ้าง ซื้อบ้าง ขอบ้าง ถามโน่น นี่ จนคนขายใจอ่อน หรืออ่อนใจก็ไม่รู้แฮะ ก็เลยให้ฟรีมั่ง ซื้อหนึ่ง แถมหนึ่ง ให้บ้าง สอนดูพระให้บ้าง จนกระทั่งย้ายเข้าไปอยู่ในวัดมหาธาตุ ก็ฝากตัวเป็นลูกศิษยเขาไปทั่วน่ะแหละครับ จนกระทั่งโต สนามท่าพระจันทร์เปิด และสนามวัดราชนัดดาตามมาติดๆ ก็เป็นหนุ่มใหญ่แล้ว
แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ก็ไม่ได้ อยู่กันเป็นประจำทุกวี่ ทุกวัน หรอกครับ ว่างถึงไป มีงานอย่างอื่นก็ต้องทำ จะว่าไปผมก็ไม่ได้เปิดแผงเป็นอาชีพถาวร เพราะไม่ชอบจำเจอยู่กับที่จะตระเวนไปเรื่อย เคยเปิดร้านก็ให้เพื่อนขาย ไม่เคยอยู่ร้าน จนกระทั่งเกือบจะเจ๊ง เพราะพระตัวเองขายไม่ได้เลย แต่พระของเพื่อนมันขายเอา ขายเอา เลยตัดสินใจยกให้มันไป "ธุรกิจเลิกกัน แต่ความสัมพันธ์ฉันเพื่อนยังอยู่"
ส่วนใหญ่ผมจะนั่งอยู่ในสนามวัดราชฯ ในสมัยโน้นนะครับ ไม่ใช่สมัยนี้ นั่งตูดติดเก้าอี้อยู่ที่ร้านเสี่ยจั๊บ ตรงลานจอดรถ ของวัด รอซื้อของบ้าง ขายบ้าง เฮียบิ (วงเวียนเล็ก) นี่ผมก็ขาย ฐานคู่บางขุนพรหม ให้แกไปองค์นึงเลย เสี่ยดม เซียนใหญ่ประตูผี ผมเอาบางขุนพรหม สังฆาฏิ ไปขายให้ถึงบ้าน ตอนแกดูพระ ผมใจหายแว๊บเลย ก็เสี่ยแกส่องเสร็จปั๊บ หย่อนใส่ในแก้วน้ำ(อุ่น) ผมร้อง เฮ้ย ... แกบอก มึง เฉย ๆ ซักพัก เขียน เช็คให้ 7 หมื่น ไม่ต่อซักคำ แต่ 3 วัน เช็คถึงจะดิว งานนั้นกำไร เหนาะๆ 2 หมื่น แค่ครึ่งวัน เพราะซื่้อต่อมาจากเพื่อนที่ร้านพี่ทิดแถวแยกบางขุนพรหมมา 5 หมื่นเอง ตังค์ยังไม่จ่ายด้วย เป็นไงครับ ราคาพระเมื่อสมัย 30 กว่าปีที่แล้ว
ส่วนที่ท่าพระจันทร์ ก็ไปบ่อยครับ แต่จะมีเพื่อนสนิทอยู่ไม่กี่แผงในตอนนั้น ไม่รู้เจอท่าน jorawis บ้างหรือเปล่า เพราะไม่รู้จักกัน สมัยนั้น แผงที่ท่าพระจันทร์ยังไม่ฟู่ฟ่าทันสมัยเหมือนเดี๋ยวหรอกครับ พวกเซียนดังๆที่ประจำอยู่ตอนนี้ก็ยังไม่เกิดเลยมั้ง หรือเกิดแล้วแต่ยัง "หน่งเกี้ยะ" อยู่ก็ไม่รู้ ไอ้ที่ซี้กันแบบพอจะยืมตังค์กันได้ ก็มี เสี่ยเอี๋ยว ท่าดินแดง แต่ก็ไม่เคยยืมกลัวมันไม่ให้ นอกนั้นก็พอรู้จัก ที่เป็นครูบาอาจารย์ก็ยกมือไหว้ท่าน เช่น พี่ชาติ หนวด พี่ลิ ทั้งสอง และอีกหลายๆท่าน จำไม่ค่อยได้แล้ว ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเข้าไปนั่งในแผงพวกท่านเหล่านี้ อย่างน้อยๆก็โอเลี้ยงฟรี หรือไม่ก็ฟลุ๊กข้าวผัดซักจาน แต่ก็ต้องไปตอนที่ท่านเหล่านี้สั่งข้าวเที่ยงนะครับ คงจะเกรงใจเรา ถ้านั่งกินคนเดียว คงกลัวผมแช่ง
ก็พอหอมปาก หอมคอ เข้ามาแจมเนื้อที่ของท่าน jorawis เยอะแล้ว ก็ยินดี ครับ ที่คนรุ่นราวคราวเดียวกันยังมีหลงเหลือให้ได้รื้อฟื้นความหลังมาเล่าสู่กันฟังอีก ขอบคุณ ครับผม

ประสบการณ์แต่ละท่าน สุดยอดคัรบ
ส่วนตัวผมแขวนพระติดตัวมาตั้งแต่เด็กยังไม่เคยมีประสบการณ์แบบตื่นเต้นเลยคับ
มีแต่แขวนเป็น พุทธานุสติ เวลาเดินทางไปใหนมาใหน คนเดียว ดึกๆ ดื่น ใจคอไม่ค่อยดี ก็จะเอามือจับพระที่แขวนแล้ว นึกในใจว่าท่านมากับเราด้วย
ก็ช่วยให้มีสติ ขับรถ เดินทางปลอดภัย มาโดยตลอดครับ
ขอคารวะท่านอาวุโสที่ให้ความรู้และประสบการณ์ในอดีต ทั้งท่าน jorawis และ ท่าน onepeer ยุคนิทานร้อยบรรทัดเด็กชายปัญญากับเด็กหญิงเรณู ยุคนั้นผมพักอยู่แถว ๆ บ้านพานถม วิสุทธิกษัตริย์ เมื่อเดินผ่านข้างวัดตรีทศเทพได้แต่มองเป็ดย่างพูลสิน เพราะไม่มีปัญญาซื้อแม้เพียงคอเป็ดครับ ส่วนสนามพระวัดมหาธาตุ ราชนัดดา ท่าพระจันทร์(น้ำท่วม) ก็เคยไปเที่ยวชมแต่ตอนนั้นยังไม่ได้สนใจพระเครื่องมากนักได้แต่เดินชม (คิดว่าราว ๆ ปี 2512 -2513 ถ้าจำไม่ผิด) สมัยก่อน (2508 - 2512) ตอนยังบวชเป็นสามเณรอยู่ได้เคยศึกษานักธรรมและบาลีธรรมร่วมห้องเรียนและร่วมอาจารย์เดียวกับพระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณเกจิดัง (ขณะนี้) ของวัดไตรมิตร ปัจจุบันคงจำกันไม่ได้แล้ว เพราะไม่พบกันเลย
เห็นรูปรถจักรยานแล้วคิดถึงเมื่อตอนไปหัดถีบรถจักรยานครั้งแรกที่นั่นเพราะต้องการไปสมัครสอบบุรุษไปรษณีย์ บางรัก (แต่ล้มลงแขนเดาะเลยอดสอบ หัดรถตอนโตแล้วหัดยาก) ขอบคุณที่ได้รื้อฟื้นความจำครับ ส่วนศาลาเฉลิมไทยเคยเข้าไปดูหนังครั้งแรกเรื่อง "โทน" มีไชยา - อรัญญา - สะอาด แสดงนำครับ
ชอบฟัง-ชอบอ่านครับ เรื่องประสบการณ์เกี่ยวกับพุทธคุณของพระเครื่องแท้ๆ หลายสำนักฯ หลายกรุ
เรื่องราวตื่นเต้นแบบนี้.. สำหรับผม ไม่ค่อยมีเรื่องมาเล่าให้ฟังหรอกครับ. ชีวิตของผมจึงค่อนข้างเรียบง่าย..ไม่หวือหวา สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นน่าจะมาจาก
1.ไม่ค่อยจะมีพระแท้ๆ..ไว้คล้องคอบูชา เพราะ.. พอใครดูว่าแท้ปั๊บ!.เขาขอซื้อตลอด ไอ้เราก็ขี้เกรงใจ..ไม่ขายก็กลัวเขาจะโกรธเอา..พาลจะตอกตะปูให้อีก
2.พระที่ผมห้อยคอส่วนใหญ่..จะโดนทักว่าเก๊!ตลอด.. (ของเก๊!..เป็นของไม่มีพุทธคุณ) กันผีหลอกก็ไม่ได้..เพราะพระเก๊!..ผีไม่กลัว
การที่ผมแขวนพระที่เขาว่าไม่มีพุทธคุณนั้น ทำให้ผมต้องใช้ชีวิตแบบ..พึ่งพาและรับผิดชอบตนเอง เช่น. เมาก็ไม่ขับ กลับก็ไม่ดึก คึกก็ไม่ไป เรื่องส่วนใหญ่ก็กลัว! เห็นเขานัวเนียตีรันฟันแทงกันอยู่ก็ไม่เข้า ไม่เป็นไทยมุง ไม่ขับรถเร็ว-หวาดเสียว ผิดกฏจราจร ระวังตัวกลัวเจ็บ ไม่ประมาท มีสติ ก็..เหนื่อยหน่อยครับ.
ผมได้อ่านกระทู้ของพี่ jorawis มาพอสมควร ยังนึกชื่นชมพี่เขาอยู่เลยว่าพี่เขาเป็นนักสะสม-เล่นพระ ที่คนรุ่นหลังๆน่าเอามาเป็นแบบอย่าง ในการหาเส้นทางเดินที่ถูกต้อง
คือ..เล่นพระแบบมาตรฐาน ใช้การตรวจสอบจากสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทยเป็นหลัก แถมหลายๆองค์ยังมีรางวัลฯการันตี ความงาม-ความแท้อีกด้วย.
ขอบคุรความรู้ ประสบการณ์ต่าง ๆ จากกูรูของวงการทุกท่าน......ข้าน้อยขอคราวะ
ขอบคุณสำหรับหลาย ๆ ท่านที่เสียเวลาเข้ามาอ่านและทักทายกันจ้า
ทั้งคุณonepeer คุณหนุ่มเหนือ คุณ piak8riw คุณหนุ่ยพุทธบูชา และคุณศีตะปันย์
อ่าน Comment เพือน ๆ พี่ ๆ หลาย ๆ คนแล้ว ก็พอรู้แล้วละ ว่า Jorawis อยู่ในฐานะ น้องเล็กของท่าน onepeer และท่าน piak8riw จ้า แต่ที่ซอกแซกพอจำเรื่องโน้นเรื่องนี้ได้ ก็คงเป็นเพราะยุคนั้น โรงเรียนที่Jorawis ไปเรียนตอนมัธยม แบ่งเป็นรอบๆ ทั้ง เช้าและบ่าย เพื่อเพิ่มจำนวนการรับนักเรียนที่สอบเข้ามาศึกษาต่อ จำได้ว่าเช้าขึ้นมาก็สะพายกระเป๋าแบบถุงทะเล ทำจากหนังเทียม สายสะพายเป็นเชือกไนล่อน (ยอดฮิตในยุคนั้น) สกรีนโลโก้โรงเรียนออกจากบ้าน ขึ้นรถเมล์จากบ้านแถวสุทธิสาร ซึ่งแทบไม่ค่อยได้จ่ายตังค์ ค่าโดยสารเพราะกระเป๋ารถเห็นตัวเล็กจิ๋ว ขนาดเอื้อมมือจนสุดแขน แล้วยังโหนราวจับด้านบนไม่ถึง จนเพิ่งมาเสียค่ารถทุกวันตอนช่วงอยู่ชั้น ม.ศ.3 นี้เองจ้า ทีนี้ ถ้าวันไหนเรียนรอบบ่าย ก็จะมีเวลาไถลตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาเข้าเรียน และถ้าวันไหนเรียนรอบเช้า หลังเลิกเรียนก็จะเถลไถลไปตามเรื่อง ตั้งแค่เข้าไปตีปิงปองให้างไนติงเกล ที่สมัยนั้นมีโต๊ะปิงปองพร้อมไม้และลูกให้ตีฟรีที่ชั้น 3 บางวันก็แวะไปกินไอติมไข่แข็ง (ชื่อไอติมนะ ไม่ใช่อาการของร่างกายในชั่วขณะหนึ่ง) ของต้นตำหรับที่แตกต่างจากสมัยนี้ที่ใช้ตอกไข่ใส่ไอศครีม แล้วตักขึ้นมากิน ของต้นตำหรับนั้นจำได้ว่าใช้ไข่นกกระทา หรือไข่นกพิราบฟองเล็ก ๆ มาแช่แข็งให้เป็นวุ้น แล้วกินแกล้มกับไอศครีมแทนแยลลี่ ร้านไอติมไข่แข็งจะอยู่ตรงแถวเชิงสะพานเหล็กก่อนข้ามไปละแวกหัวเม็ด แหลงช๊อปเครื่องเพชรของเหล่าคุณหญิงคุณนายชาวไฮโซในสมัยนั้น รายการนี้ต้องนาน ๆ ไปที เพราะแพงมากสำหรับเด็กน้อย
ไอ้พฤติกรรมที่ประพฤติบ่อยกว่าเห็นจะเป็นการเดินท่อม ๆ ไปแอบอ่านหนังสือทีแพร่พิทยา ตรงวังบูรพา เรือยไปจนถึง ร้านหนังสือเก่าทีหลังพระแม่ธรณีบีบมวยผมตรงสนามหลวง ซึ่งแถวนั้นจำได้ว่ามีแผงพระของอาซิ้มสูงวัยคนนึง มีพระคลองตะเคียนทั้งแผง ผู้อาวุโสท่านนึงเคยเรียกให้ดูให้จำไว้ต่อไปจะได้ไม่เช่าหาไว้ให้อายลูกหลาน เลยแอบเรียกเล่น ๆพระคลองคะเตียนกรุยายซิ้ม คาดว่าเดี๋ยวนี้คงจะเล่นกันเป็นแท้ไปหมดแล้วจ้า 555555
หลังจากนั้นก็เดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงแถวผ่านฟ้า แถวนั้นมีโรงพิมพ์หลายแห่งที่มีหนังสือเก่า ๆวางขายหน้าร้าน ที่เคยซ่าส์ถึงขนาดใช้ความเป็นเด็ก ขอแวะเข้าไปเยี่ยมคุุณจุ๋มจิ๋ม และอาวัฒน์ นักเขียนการ์ตูนชื่อดังของการ์ตูนหนูจ๋าและเบบี้ ในฐานะแฟนการ์ตูนที่โรงพิมพ์แถวนั้นมาแล้ว
แต่ไอ้ที่บ่อยสุดเห็นจะหนีไม่พ้นการเดินเข้าสนามพระ โดยเฉพาะสนามวัดมหาธาตุฯ ตอนนั้นเช้าขึ้นมาชอบไปนั่งดูคนแบกกล่องกระดาษพะยี่ห้อกวางทองน้องแม่โขง ภายในมีประบูชา ขี้นจากเรือเข้าสนามแห่งนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นพระบูชารัตนะฯ ทองสุกอร่าม ซึ่งสมัยนั้นไม่ค่อยมีใครสนใจมากนัก เพราะเกี่ยงยุคสมัยว่ายังใหม่อยู่ ยุคนั้นไอ้ที่ฮอตสุด ๆ ก็ต้อง สุโขทัย เชียงแสนหรืออู่ทอง โซส์ใหญ่เยิ้ม ถึงจะฮือฮากันทั่วสนามจ้า พระบูชาศิลป์อยุธยายังแทบจะไม่มีคนชายตามองเลยด้วยซ้ำ ถ้าจำไม่ผิด เรื่องก็อตซิปในสนามที่ฮอตสุดๆ คงจะเป็นเรื่องพระรูปเหมือนลอยองค์ เนื้อตะกั่วหัวลูกปืน ที่เพิ่งจะโผล่มาให้สนามส่วนกลางยลโฉมโดยคุณอรุณ สมสาร และคุณสมชาย นครสวรรค์ ที่โดนนินทากันว่าเป็นพระเก๊ จนกระทั่งกว่าความจริงเปิดเผยออกมาว่ามีการสร้างจริง และทันหลวงพ่อเดิมปลุกเสก ราคาก็เริ่มเดินไปไกลแล้วจ้า
ไอ้เรื่องเสียงสวดไม่เป็นมงคลนี้ มีมาหลายยุคหลายสมัย จำเนียรกาลอีกต่อมา เมื่อมีสนามพระวัดราชนัดดาแล้ว จำได้ว่าทีแผงโกยี มีอภิมหากรุพระคง(กรุใหม่) เป็นร้อยๆ องค์ (เฉพาะท่ี่โชว์ไว้หน้าแผง ว่ากันว่าที่เก็บไว้ไม่โชว์ ยังมีมากกว่านั้นแยะ) ราคาว่ากันตามสภาพ ตอนนั้นพอมีเงินเก็บอยู่บ้างอยู่ธนาคารออมสิน (เทรนด์ยุคนั้น เด็กส่วนใหญ่จะฝากเงินที่ธนาคารออมสิน ที่ในวันเด็กของทุก ๆ ปีจะมีกระปุกออมสินสวย ๆ แบบใหม่ ๆ ให้เลือกได้แจกให้เป็นประจำจ้า) เห็นพระคงสภาพสวยสมบูรณ์โพธิ์เด้งๆ ครบทุกใบชนิดหากอยู่ในปัจจุบันราคาคงเป็นแสน ๆ และหลายแสนแล้วอยากได้ บังเอิญกิระดัง ได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันไม่เป็นมงคลนี้เลยปล่อยให้่ผ่านไปกับเสียงสวดไปหมด ทุกวันนี้กว่าจะหามาเชยชมได้แต่ละองค์ก็เลือดตาแทบกระเด็น สมน้ำหน้า!!!! อยากไม่เชื่อครูบาอาจารย์ที่พร่ำสอนอยู่เสมอว่า เล่นพระค้องใช้ตา ห้ามใช้หู
ถัดจากนั้นมาอีกหลายปีอยู่ ตอนนั้นเฮียยู้ มาเปิดสนามพันธ์ุทิพย์ประตูน้ำแล้ว ร้านของท่านนายกสมาคมฯ อยู่บนชั้นลอย ทางด้านขวาเวลาขึ้นบันได้เลื่อนสูงๆ จากหน้าห้าง Jorawis ยังเข้าสนามพระอยู่ แต่เปลี่ยนทีมาเป็นที่บนบนของศูนย์การค้าบางกอกบาซาร์ เยื้องๆ กับบิ๊กซีราชดำริในปัจจุบัน และที่บ่อยสดก็คือที่พันธุ์ทิพยฺ์ประตูน้ำนี่แหละจ้า อีตอนนั้นเริ่มทำงานแล้ว กำลังเฟื่อง รุ่นใหญ่ ๆในสนามหลายท่าน ต่างแนะนำให้เก็บพระกระแสดี มองดูแล้วน่าจะมีอนาคตไกล ที่ราคายังไม่ดุเดือดเลือดสาดแบบสมัยนี้ ทั้งหลวงปู่โต๊ะ หลวงปู่ทิม วัดระหารไร่ หรือพระอรหันต์กลางกรุงอย่างท่านเจ้าคุณนรฯ วัดเทพศิรินทร์ แต่เหมือนกรรมบังตา กิเลสหนาเข้าครอบงำ ทั้งๆที่ กระแสเงินกำลังสะพัด Jorawis ไม่เก็บเลยซักสาย ก็จากเสียงเล่าลืออันไม่เป็นมงคลนี้เอง เลยเลือกตามใจตัวเองแบบมวยวัด ไมมีครู ที่เช่าไปบ่อยที่สุดเห็นจะเป็นพระกรุคลองขอม ที่ร้านเฮียฮุยระยอง แล้วอยู่รอจนห้างปิด ก็เลยไปนั่งจิบละเลียดเครื่องดองของเมาค่อที่ La Cave เล้าจน์ ที่อยู่ด้านหลังในตึกเดียวกันนี้ หรือไม่ก็โน่น ข้ามฟากไปรำวงดีดดิ้นอยู่ที่ Ater Dark บนชั้นลานจอดรถ แถวไทยไดมารูจ้า เลยไม่รวยอู้ฟู่แบบชาวบ้านเค้าซักกะที!!!! 555555



ต้องขอแย้งท่าน jorawis นิดนึงครับ ด้วยความเคารพ คือ แผงที่ขายพระคงกรุใหม่ ที่สนามวัดราชนัดดา เป็น "โกหย่วน" ครับ รู้สึกคลับคล้าย คลับคลา ว่าชื่อจริงของแก คงจะเป็น "นิยม พงศ์วิชัย" หรือไงเนี่ย แกเอามาวางขายกันเต็มแผงไปหมดเลย ใช่ครับเป็น ร้อยๆองค์ ผมเองยังอุดหนุนแกมาหลายองค์เหมือนกัน เพราะเห็นราคาไม่แพง(ในขณะนั้น) สวยหรือไม่สวยคัดกันเอาเอง สนนราคาองค์ละ 300 บาท ถ้วน ห้ามต่อ ใครต่อโดนด่าเปิง แต่ผมก็ดูไม่เป็นหรอกครับเพราะไม่ชำนาญเรื่องพระเนื้อดิน ซื้อไปยังงั้นเอง ตอนนั้น ใครๆเขาก็สวดพระแกว่าอย่างโน้น อย่างนี้ แต่ปัจจุบัน หาไม่มีแล้ว ส่วนของผมที่เช่าแกมาก็ไม่รู้หายไปไหนหมด ไม่ได้ขาย คงให้หรือแลกกับเพื่อนไป ยังเสียดายอยู่ทุกวันนี้เลย ครับผม
ยืนยันตามนั้นจ้า โกหย่วนจริงๆ
ขอบคุณท่าน onepeer ที่ช่วยแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องทำให้กระทู้นี้ มีความถูกต้องสมบูรณ์มากขึ้นจ้า
ขออภัยที่Jorawis ยิ่งแก่ก็ยิ่งเลอะ ๆเลือน ๆ หลง ๆลืม ๆ จ้า
สมศักดิ์ศรีชายหนุ่มวัยทองจริง ๆ 555555

จำได้ว่าเคยมีคนลงไปงมหาพระในคลองแถว ๆ หน้าวัดโสม หน้าวัดมกุฏ เรื่อยไปยัน เทเวศน์ แทบทุกวัน โดยมีกะละมังวางใส่พระไว้ริมคลอง คนชอบพระเดินผ่านไปมาก็นั่งยอง ๆ ลงเลือกเช่า คนเฝ้ากะละมังจะทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์สินค้าพร้อมถือเชือกยาวประมาณสักศอก ทำการวัดพระบูชาข้างกะละมังให้คนดู เห็นวัดช่วงพระเกศ ช่วงไหล่ ช่วงหน้าตัก เปรียบเทียบกันว่ายาวเท่า ๆ กัน ไม่ทราบว่าวัดเพื่ออะไร ส่วนในกะละมังเห็นมีพระเครื่องจำพวกเหรียญเป็นส่วนใหญ่ พระบูชามีบ้างสักองค์แต่ไม่ทุกกะละมัง มีสนิมเขียว ตะใคร่น้ำเกาะบางบ้าง หนาบ้าง ถ้าจังหวะที่คนรุมล้อมกันมาก ๆ คนที่อยู่ในคลองก็มักเจอพระบ่อยมาก ซึ่งคนดูก็จะขอแย่งเช่ากันสด ๆ ร้อน ๆ เลย นับว่าตื่นเต้นดี ส่วนพระจะฝังดินจมน้ำอยู่นานจริงหรือออกมาจากกระเป๋ากางเกงคนงมก็มิอาจคาดเดาได้ถูกต้องเพราะอยู่ใต้น้ำขุ่น ๆ เขียว ๆ มองไม่เห็น เห็นแต่ที่มีอยู่แล้วในกะละมัง ๆ ละไม่ต่ำกว่า10 องค์ นับว่าสามารถทำรายได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้องของตนเองและครอบครัวอย่างสบาย ๆ ทุกวัน ปัจจุบันนี้ไม่ทราบว่าพอมีให้เห็นบ้างหรือเปล่าเพราะไม่ได้ผ่านแถวนั้นนานหลายปีแล้วครับ

เคยเพียงได้ยินเค้าเล่ามาเกี่ยวกับการสั่นของพระเครื่อง ไม่นึกว่าจะเจอเอง เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาครับ คืนวันนั้นนอนที่ห้องพระ ตอนเช้าต้องตกใจสะดุ้งตื่นเพราะสร้อยพระที่สวมคอสั่นด้วยอาการที่แรงมากให้เห็นกับตา สั่นแบบโทรศัพท์มือถือแต่แรงกว่ามาก แล้วรู้สึกเหมือนมีกระแสไฟวิ่งไปทั้งตัวมือไม้อ่อนหมดแรง ตอนนั้นทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นอนดูสร้อยที่หน้าอกสั่นว่าเมื่อไหร่จะหยุด เสียงพระที่หน้าอกกระทบกันเพราะอยู่สวมอยู่หลายองค์พอสมควร สั่นอยู่ประมาณสิบครั้งจึงหยุด ผมไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ทำให้นึกถึงชานหมากของหลวงปู่องค์หนึ่งที่เพิ่งได้มาใส่ตลับ แล้วอาราธนาท่านคล้องคอในคืนนั้น ไม่รู้เกี่ยวกันหรือเปล่า

เพลิดเพลิน เจริญความรู้ ขอบคุณครับ